สถิติ

71802628

TVD ปักธง!ช่องทางออนไลน์ดันรายได้ 4,000 ลบ.

   TVD ปักธง!ช่องทางออนไลน์ดันรายได้ 4,000 ลบ.

   วางหมาก!ABPOสู่Tech Companyปั้นกำไร-เข้าเทรด

 

   "ทีวี ไดเร็ค" หรือ TVD ประกาศแผนธุรกิจปี 2021 รายได้ 4,000 ล้านบาท กำไร 60 ล้านบาท หลังปี 63 ปั้น!รายได้ 3,736 ล้านบาทหรือลดลง 12% สวนทางกำไรโตเท่าตัวที่ 28.34 ล้านบาท 

   ชูกลยุทธ์ Harmonized Channel ผสานความแข็งแกร่งทุกช่องทางขาย ทั้งทีวีโฮมช้อปปิ้ง อีคอมเมิร์ซ คอลล์เซ็นเตอร์ เพื่อหวังผลลัพธ์เพิ่มยอดขายทางออนไลน์

   ดัน!สัดส่วนเพิ่มเป็น 15% ในปีนี้ จากเดิม 8% ในปีที่ผ่านมา หรือ 1 ใน 3 ของรายได้รวม ลั่น! 3 ปี สัดส่วนรายได้จากอีคอมเมิร์ซจะพุ่ง!แตะ 50% ของรายได้รวม  

   ผนึกพาร์ทเนอร์พัฒนาระบบเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน รีโพซิชั่นนิ่งทีวีโฮมช้อปปิ้ง รุก!เสริมทีมคอลล์เซ็นเตอร์เป็น 500 ที่นั่ง จากสิ้นปีที่ผ่านมา 300 ที่นั่ง

   พร้อมวางยุทธ์ศาสตร์ทรานส์ฟอร์ม ABPO บริษัทในเครือ ก้าวสู่ Tech Company สร้างรายได้ใหม่สัดส่วน 70% และรายได้เดิม 30% แก่ TVD

   วางหมากหัวหอกเติมเต็มกำไร หลังปี 63 โชว์รายได้  839 ล้านบาท กำไร 23 ล้านบาท ส่วนปี 64 ตั้งเป้ารายได้ 1,040 ล้านบาท ดัน!กำไร 37 ล้านบาท 

   นายทรงพล ชัญมาตรกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีวี ไดเร็ค จำกัด (มหาชน) หรือ TVD เปิดเผยว่า หลังจากมารับตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2564 ที่ผ่านมา ได้วางนโยบายขับเคลื่อนธุรกิจภายใต้กลยุทธ์ ‘Harmonized Channel’

   โดยตั้งเป้ารายได้ปี 2564 จำนวน 4,000 ล้านบาทและกำไร 60 ล้านบาท โดยการใช้ศักยภาพช่องทางการขายต่างๆ ของบริษัท ได้แก่ ทีวีโฮมช้อปปิ้ง คอลล์เซ็นเตอร์ ร้านค้าปลีก TVD Shop และอีคอมเมิร์ซ เพื่อผลักดันการเพิ่มยอดขายจากช่องทางออนไลน์อย่างเต็มตัว

  โดยบริษัทวางเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนยอดขายช่องทางออนไลน์ในปีนี้เป็น 15% จากปัจจุบันที่มีสัดส่วนยอดขายประมาณ 8% หรือ 1 ใน 3 ของรายได้รวมในปีนี้

   โดยแผนงานช่วงไตรมาส 1-2 ของปีนี้ จะรุกเพิ่มยอดขายสินค้าบนแพลตฟอร์ม Social Commerce และสินค้าจาก 6,000-7,000 ผลิตภัณฑ์เป็น 40,000 ผลิตภัณฑ์ในปีนี้

   รวมถึงผนึกความร่วมมือกับพาร์ทเนอร์คือ บริษัท โมโม่ดอทคอม จำกัด หรือ ‪Momo.com Inc. (MOMO) ผู้นำธุรกิจโฮมชอปปิ้งและอีคอมเมิร์ซ รายใหญ่จากประเทศไต้หวัน

   นำเทคโนโลยีและฟีเจอร์ใหม่ๆ ในการจำหน่ายสินค้าทางออนไลน์พัฒนาแพลตฟอร์มให้ตอบสนองการใช้งานของผู้บริโภคได้ดียิ่งขึ้น โดยวางเป้าหมายว่าภายใน 2-3 ปีจะมีรายได้จากอีคอมเมิร์ซที่สัดส่วน 50% ของรายได้รวม

   ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TVD กล่าวว่า สำหรับช่องทางการขายอื่นๆ บริษัทวางแผนรีโพซิชั่นนิ่งธุรกิจทีวีโฮมช้อปปิ้งครั้งใหญ่ จากปัจจุบันมีทีวีดาวเทียมทั้งหมด 28 ช่อง

   โดยวางตำแหน่งทางการตลาดของแต่ละช่องใหม่เป็น 6 กลุ่ม ได้แก่ 1.กลุ่มสินค้าราคาย่อมเยา 2.กลุ่มสินค้าจับตลาดกลาง-บน 3.กลุ่มสินค้าฟิตเนสเพื่อออกกำลังกาย

   4.กลุ่มสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน 5.กลุ่มสินค้าสำหรับตลาดแมสในราคาเข้าถึงได้ เสมือนยกธุรกิจค้าปลีกมาอยู่ในทีวีโฮมช้อปปิ้ง และ 6.กลุ่มสินค้าแบรนด์เนม

   ขณะเดียวกัน จะรุกเพิ่มจำนวนคอลล์เซ็นเตอร์เป็น 500 ราย จากสิ้นปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 300 ราย เพื่อเพิ่มขีดความสามารถเข้าถึงฐานลูกค้าเดิมของ TVD ที่มีอยู่กว่า 10.1 ล้านราย และรุกขยายฐานลูกค้าใหม่เพื่อหวังผลในการสร้างยอดขายช่องทางออนไลน์

   นอกจากนี้มีแผนพัฒนาร้านค้าปลีก TVD Shop โดยนำเทคโนโลยีเข้ามาปรับใช้เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ในการเลือกซื้อสินค้าแก่ผู้บริโภคและต่อยอดสู่การตัดสินใจซื้อในช่องทางออนไลน์  

   นายทรงพล กล่าวเพิ่มเติมว่าสำหรับผลการดำเนินงานในปี 2563 บริษัทมีกำไรสุทธิ 28.34 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 111.81% เมื่อเทียบกับปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 13.38 ล้านบาท โดยมีรายได้รวมอยู่ที่ 3,736.95 ล้านบาท ชะลอตัวจากปี 2562 ที่มีรายได้รวม 4,280.55 ล้านบาท

   เนื่องจากภาพรวมเศรษฐกิจยังฟื้นตัวช้าและผู้บริโภคชะลอการจับจ่ายใช้สอย ประกอบกับหลังสิ้นสุดมาตรการล็อกดาวน์ทำให้ยอดสั่งซื้อสินค้าทางทีวีโฮมช้อปปิ้งลดลงเล็กน้อย

   ขณะที่ ดร.อาทิตย์ น้อยเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอบีพีโอ จำกัด (ABPO) ในเครือ TVD กล่าวว่า จากการดำเนินธุรกิจในยุคปัจจุบันที่ต้องปรับตัวอยู่ตลอดเวลาเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

   ABPO ซึ่งเป็นบริษัทที่เกิดจากการปรับโครงสร้างและควบรวมธุรกิจ B2B (Business to Business) ของ บมจ.ทีวีไดเร็ค ได้วางยุทธศาสตร์ทรานส์ฟอร์มองค์กร สู่การเป็นบริษัท Tech Company

   ทั้งนี้เพื่อเติมเต็มกำไรให้กับ TVD โดยในปีที่ผ่านมามีรายได้ 839 ล้านบาทและกำไร 23 ล้านบาท ส่วนปี 2564 ตั้งเป้ารายได้ 1,040 ล้านบาทและกำไร 37 ล้านบาท จาก 4 ธุรกิจหลัก   

   ซึ่งปัจจุบัน ABPO มีแผนเข้าลงทุนในธุรกิจสตาร์ทอัพ Tech Company และได้ทำการลงทุนใน BLOCKFINT บริษัท  FINTECH สตาร์ทอัพ และ Blockchain Technology ผู้พัฒนาระบบซอฟท์แวร์ แอปพลิเคชันสำหรับการสร้าง Neo Banking (ธนาคารดิจิทัลในโลกออนไลน์)

   ซึ่งเป็นระบบธนาคารรูปแบบใหม่ที่จะเปลี่ยนแปลงการดำเนินธุรกิจธนาคารในอนาคต และ บริษัท EAT LAB ผู้พัฒนาระบบ AI Core Tech เพื่อช่วยผู้ประกอบการร้านอาหารต่างๆ วิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค การพัฒนาโปรโมชั่นที่สามารถตอบสนองความต้องการลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

   “บริษัทมีแผนงานเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในธุรกิจสตาร์ทอัพต่างๆ มากขึ้น โดยให้ความสนใจขยายการลงทุนในธุรกิจสตาร์ทอัพด้าน Food Ordering (สั่งอาหาร) เพื่อเพิ่มสัดส่วนการลงทุนและก้าวสู่การเป็น Tech Company

   โดยมีเป้าหมายภายใน 3 ปี ABPO จะมีรายได้จาก Tech Company สัดส่วน 70% และรายได้จากธุรกิจเดิม 30% พร้อมทั้งมีเป้าหมายในอนาคตที่จะนำ ABPO เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ต่อไป” ดร.อาทิตย์ กล่าวสรุป

04 มีนาคม 2564

ผู้ชม 568 ครั้ง

Engine by shopup.com