"พีน่า"ชูธง!DC Super Heroesโตสวนเศรษฐกิจ  

   "พีน่า"ชูธง!DC Super Heroesโตสวนเศรษฐกิจ

   โฟกัส!นักท่องเที่ยวต่างชาติ-ปี65รายได้800ลบ.

   “นัสวีร์ ตันติจิรสกุล” รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท พีน่า เฮาส์ จำกัด (มหาชน) ในฐานะคนรุ่นใหม่และทายาทเจ้าของธุรกิจ กลุ่มบริษัทพีน่า (Pena Group) ได้เปิดเผยถึงวิสัยทัศน์การบริหารงานหลังจากที่ได้รับการโปรโมทให้รับตำแหน่งดังกล่าวเมื่อเร็ว ๆ นี้ โดยระบุว่า กลุ่มบริษัทพีน่า (Pena Group) เป็นบริษัทของคนไทย ก่อตั้งมากว่า 40 ปี ประกอบด้วย 12 บริษัทในเครือดำเนินธุรกิจหลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นบริษัท พีน่า เฮาส์ จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิต นำเข้า และจัดจำหน่ายสินค้าเครื่องแต่งกายแบรนด์พีน่า (Pena) เทนแอนด์โค (Ten & Co.) แกลลอป (Gallop) ดอช (DOSH) ดอช คิดส์ พลัส (DOSH Kids+) ดอช แฟคตอรี่ สโตร์ (DOSH Factory Store)  

   ฮอลลิวู้ด สตูดิโอ (Hollywood Studio) Timberland (ทิมเบอร์แลนด์) และ DC Super Heroes (ดีซี ซุปเปอร์ ฮีโร่ส์)

   บริษัท เอาท์เล็ท มอลล์ จำกัด ผู้บริหารศูนย์การค้า พรีเมี่ยม เอาท์เล็ท ซึ่งปัจจุบันมี 9 สาขาทั่วประเทศ นอกจากนี้ยังมีธุรกิจโรงแรมสวนสนุก ร้านอาหาร และคาเฟ่ โดยในปี 2561 ที่ผ่านมามีรายได้ทั้งกลุ่มรวมกว่า 5,000 ล้านบาท

   ส่วนในปี 2562 คาดว่าทั้งกลุ่มจะมีรายได้ทางธุรกิจที่ทรงตัวเท่าเดิมทั้งนี้เพราะในส่วนของธุรกิจเสื้อผ้าค้าปลีกหรือรายย่อยโดยเฉพาะกลุ่มคนไทยมีกำลังซื้อและความถี่ในการซื้อที่ลดลงอย่างชัดเจน  ซึ่งตรงกันข้ามกับธุรกิจเสื้อผ้าคารแรคเตอร์ แบรนด์ ที่ยังคงมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องจากกำลังซื้อของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่อยู่ในกลุ่มระดับบน 

   ส่วนแบรนด์เสื้อผ้าในกลุ่มมัลติ คาแรคเตอร์ ที่เป็น House Brand ของ กลุ่มบริษัทพีน่าจะเป็นกลุ่มลูกค้าในระดับกลาง และในปีนี้ได้เตรียมเปิดตัวธุรกิจใหม่คือเสื้อผ้าแบบค้าปลีกเพิ่มเติมด้วย ซึ่งเป็นการแบ่งรูปแบบธุรกิจกันอย่างชัดเจน

   ทั้งนี้ “นัสวีร์” กล่าวต่อไปว่า จากการที่ธุรกิจเสื้อผ้าคาแรคเตอร์ แบรนด์มีทิศทางการเติบโตที่ดีนั้นทางกลุ่มบริษัทพีน่า จึงได้ดำเนินธุรกิจดังกล่าวอย่างจริงจังทั้งการผลิตและจำหน่ายอย่างครบวงจร โดยได้เปิดตัวร้าน DC Super Heroes (ดีซี ซุปเปอร์ ฮีโร่) เปิดสาขาแรกขึ้นที่ศูนย์การค้าเทอร์มินัล 21 พัทยา เมื่อปลายปี 2561    

   ซึ่งเป็นร้านค้าที่จัดจำหน่ายสินค้าลิขสิทธิ์ซูเปอร์ฮีโร่ดัง ค่าย DC Comics (ดีซี คอมมิคส์) อาทิ BATMAN (แบทแมน) SUPERMAN (ซูเปอร์แมน) WONDER WOMAN (วันเดอร์ วูแมน) AQUAMAN (อาควาแมน)

   THE JOCKER (เดอะ โจ้กเกอร์) HARLEY QUINN (ฮาร์ลีย์ ควินน์) และอีกมากมาย โดยได้รับลิขสิทธิ์จาก Warner Bros. Consumer Products (วอร์เนอร์ บรอส คอนซูมเมอร์ โปรดักส์) ระยะเวลาสัญญาทุก ๆ 3 ปี

   นอกจากนี้ยังมีสินค้าสำหรับทุกคนในครอบครัวทั้งเด็ก และผู้ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า และเครื่องแต่งกายที่ผลิตจากวัตถุดิบคุณภาพสูง (apparel and accessories) ของใช้ในบ้าน (home products) ของใช้เพื่อการเดินทาง (travelling accessories)

   อุปกรณ์อิเล็กทรอนิก (gadgets) ของสะสม (collectible items) รวมถึงตุ๊กตา (plush toy) ซึ่งถือเป็นโมเดลใหม่ที่จะมีการนำไปใช้ทั่วโลกของ DC Super Heroes ที่มีสัดส่วนของเสื้อผ้า 70% และของใช้ เครื่องประดับต่าง ๆ สัดส่วน 30%

   ปัจจุบัน ร้าน DC Super Heroes มีทั้งหมด 3 สาขา สาขาแรกเปิดที่ศูนย์การค้าเทอร์มินัล 21 พัทยา สาขาที่ 2 ที่ศูนย์การค้าเมญ่า เชียงใหม่ สาขาที่ 3 ที่ศูนย์การค้าดิไอคอนสยาม ซึ่งจะเปิดในเดือนกันยายนนี้  และจะเปิดเพิ่มอีก 1 สาขาที่จังหวัดภูเก็ต ภายในไตรมาสแรกปี 2563 พร้อมตั้งเป้ายอดขายเมื่อเปิดครบทั้ง 4 สาขา ให้ได้ 50 ล้านบาทต่อปี

   ส่วนในอีก 2 ปีข้างหน้ามีแผนเปิดสาขาเพิ่มอีก 2-3 สาขา โดยโฟกัสที่โลเคชั่นที่เป็นเมืองท่องเที่ยวและมีนักท่องเที่ยวรวมทั้งคนไทยที่มีกำลังซื้อสูง ทั้งนี้เพราะกลุ่มเป้าหมายหลักของ ร้าน DC Super Heroes เป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติสัดส่วน 80-90%

   ทั้งกลุ่มอาหรับที่มีการใช้จ่ายครั้งละ 2,000-7,000 บาท รองลงมาเป็นนักท่องเที่ยวจีนและอินเดียตามลำดับที่มียอดการใช้จ่ายต่อครั้งที่จำนวน 2,000 บาท

   ซึ่งปัจจุบันสินค้า DC Comics คิดเป็นสัดส่วน 40-45% ของยอดขาย จากเป้ายอดขายรวม 480 ล้านบาทในปี 2562 และในปี 2565 ตั้งเป้ารายได้รวมอยู่ที่ 800 ล้านบาท

   ส่วนอีก 30-35% เป็นรายได้ที่มาจากลิขสิทธิ์ในการผลิตสินค้าเสื้อผ้า และเครื่องแต่งกายเพื่อจัดจำหน่ายผ่านร้านค้าในเครือพีน่าเอง ได้แก่ DOSH (ดอช) DOSH Kids+ (ดอช คิดส์ พลัส) DOSH FactoryStore (ดอส แฟคตอรี่ สโตร์) และ Hollywood Studio (ฮอลลิวู้ด สตูดิโอ)  

   ซึ่งมีจำนวนร้านค้ารวมกันกว่า 40 ร้านค้าทั่วประเทศ โดยคอนเซปต์ของร้าน DOSH, DOSH Kids+, DOSH FactoryStore และ Hollywood Studio เป็นร้านประเภท multi-characters ที่จัดจำหน่ายสินค้าจากลิขสิทธิ์ตัวการ์ตูนจากหลากหลายค่าย ทั้งสินค้าเด็กและผู้ใหญ่ที่เข้าถึงได้ง่ายทั้งในด้านราคา และรูปแบบสินค้า

   ซึ่งมีแผนเปิดสาขาเพิ่มอีก 10 สาขาภายใน 3 ปีข้างหน้า และ DOSH Factory Store ที่กำหนดให้เป็นช่องทางในการระบายสินค้า off-season ด้วยคอนเซปต์เมก้าสโตร์ บนพื้นที่ 300 - 500 ตารางเมตร

   ปัจจุบันได้เปิดไปแล้ว 3 สาขาที่พรีเมี่ยม เอาท์เล็ท พัทยา พรีเมี่ยม เอาท์เล็ท อยุธยา และเซ็นทรัล วิลเลจ ลักชูรี่ เอาท์เล็ต และต้นปี 2562 เปิดสาขาเพิ่มที่สยาม พรีเมี่ยม เอาท์เล็ต

   ในขณะที่อีก 20% เป็นรายได้ที่มาจากธุรกิจนำเข้า โดยเฉพาะร้าน Timberland (ทิมเบอร์แลนด์) เป็นหลัก ซึ่งมีอัตราการเติบโตของยอดขายที่ 2 หลักทุก ๆ ปี