J&C จัดทริปล่องเรือสำราญสุดหรู
J&C จัดทริปล่องเรือสำราญสุดหรู
J&C จัดทริปล่องเรือสำราญสุดหรู
ท่องเที่ยว"อิตาลี–สเปน–ฝรั่งเศส"
เริ่มต้นปีกับทริปท่องเที่ยวสุดพิเศษ เมื่อวันที่ 15-25 มีนาคม 2562 ที่ผ่านมา บริษัท จอย แอนด์ คอยน์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด นำทีมโดย ดร.สมชาย หัชลีฬหา ประธานกรรมการบริหาร ดร.กฤตภัค หัชลีฬหา รองประธานกรรมการบริหาร พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร พาสมาชิกไปล่องเรือสำราญสุดหรูไกลถึงประเทศ อิตาลี – สเปน – ฝรั่งเศส เพื่อสัมผัสกับประสบการณ์สุดอลังการกันอีกครั้ง
เริ่มต้นด้วยการเดินทางสู่ เมืองลูกาโน เมืองสงบเงียบอยู่ภาคใต้ของสวิตเซอร์แลนด์ในเขตรัฐทีชีโน ติดกับทางเหนือของอิตาลีและใต้สุดของสวิตเซอร์แลนด์ ตั้งอยู่ริมทะเลสาปใหญ่ ล้อมรอบด้วยภูเขาจำนวนมาก มีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจ เช่น ทะเลสาบน้ำแข็งตั้งอยู่ระหว่างพรมแดนของสวิตเซอร์แลนด์-อิตาลี
ย่านเมืองเก่าอยู่ใจกลางเมืองที่มีลักษณะเป็นจัตุรัสสไตล์เมดิเตอร์เรเนียนและเป็นที่ตั้งของย่านการค้า,ทะเลสาบลูกาโนที่ถูกล้อมรอบด้วยภูเขามีวิวทิวทัศน์สวยงาม,มหาวิหารประจำเมืองลูกาโนและโบสถ์ซานตามาเรียเดกลีอันกีโอลี สัญลักษณ์ประจำเมือง และแวะช้อปปิ้งสินค้าที่ Fox Town Outlet ก่อนที่จะเข้าพักที่โรงแรม Starhotels Ritz
เริ่มออกเดินทางสู่ท่าเรือเมืองเจนัว เพื่อเช็คอินลงเรือสำราญ “MSC BELLISSIMA – Mediterranean Cruise” เพื่อเดินทางสู่ เมืองเนเปิ้ล(Naples) ประเทศอิตาลี, เมืองซอเรนโต้ เมืองชายทะเลที่มีตัวเมืองเรียงรายตามแนวของผาหินสูง ทิวทัศน์สวยงามเหล่านี้ได้สร้างความประทับใจให้กับนักท่องเที่ยว จนเป็นเมืองตากอากาศที่มีชื่อเสียง นั่งเรือต่อไปที่เมืองแมสซินา (Messina) เมืองท่าเรือที่ตั้งอยู่บนเกาะซิซีลี่ ที่เต็มไปด้วยอารยธรรม และสถาปัตยกรรมของอาณาจักรโรมัน
เดินทางไปเมืองทาโอมิน่า เมืองท่องเที่ยวที่สำคัญบนเกาะซิซีลี่ ที่บุคคลสำคัญและราชวงศ์ในนยุโรปนิยมมาสร้างบ้านพักผ่อน ตากอากาศ เป็นเมืองที่สวยงาม โดยมีภูเขาไฟแอดน่า เป็นฉากหลัง ชมย่านเมืองเก่าที่เหมือนเดินทางย้อนกลับไปเมื่อสองพันปัก่อน เริ่มจากจุดท่าเรือที่เรียกว่า Porta Messinaชมจัตุรัสโอเดี้ยน (Odeon) เป็นโรงละครกรีกโบราณ
โรงละครที่ใหญ่เป็นอันดับสองบนเกาะซิซีลี่และเป็นสัญลักษณ์ของเมืองทอร์มิน่า ลักษณะของสถาปัตยกรรมเป็นแบบกรีก-โรมันเนื่องจากในสมัยศตวรรษที่ 2 โรงละครแห่งนี้ได้ถูกบูรณะขึ้นใหม่โดยชาวโรมันให้ท่านได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศที่สวยงามของเทือกเขาน้อยใหญ่และผืนน้ำทะเลสีครามเป็นฉากหลังที่จะทำให้ท่านประทับใจไม่รู้ลืม
เดินทางสู่เมืองวัลเลตตา (Valletta) ประเทศมอลตา พาชมเมืองหลวงของสาธารณรัฐมอลต้าซึ่งได้ตั้งชื่อเมืองตามชื่อของ Jean Parisot De La Valetta ผู้ซึ่งสามารถป้องกันการรุกรานเกาะมอลต้าจากออตโตมานในปี 1565 เมืองวัลเลตตาได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโกในปี 1980
ชมสวนบารัคคา (Barracca Garden) สวนสวยที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นสถานที่ส่วนบุคคล แต่ภายหลังได้เปิดให้สาธารณชนเข้าชมในปี 1824 ภายในสวนประกอบไปด้วย Upper Barracca และ Lower Barracca ในส่วน Upper นั้นได้สร้างขึ้นในปี 1661 โดยอัศวินชาวอิตาเลียน จากบริเวณสวนจะเห็นวิวของอ่าวแกรนด์ฮาร์เบอร์ได้ชัดเจน
เข้าชมวิหารเซนต์จอห์น (St. John’s Cathedral) สร้างโดยอัศวินเซนต์จอห์นเพื่อมอบเป็นเกียรติแก่ผู้อุปถัมภ์เหล่าอัศวินทั้งหลายความพิเศษของวิหารแห่งนี้ คือการออกแบบตกแต่งโดยสถาปนิกและศิลปินชาวมอลต้าในช่วงศตวรรษที่ 16
จากนั้นชม AUBERGE DE CASTILLE อาคารที่มีความสง่างามและใหญ่โตที่สุดแห่งหนึ่งในเมืองวัลเลตตา ตั้งอยู่บนจุดที่สูงที่สุดของคาบสมุทรซึ่งถูกออกแบบให้เป็นสถานที่หรูหราที่สุด ปัจจุบันใช้เป็นที่พำนักของนายกรัฐมนตรีของประเทศสาธารณรัฐมอลต้า สร้างขึ้นครั้งแรกในปี 1574 โดยสถาปนิกชาวมอลต้าชื่อ GIROLAMO CASSAR และมีการสร้างบูรณะใหม่อีกครั้งในปี 1741
เข้าชมพระราชวังแกรนด์มาสเตอร์ (Grand Master Palace) อดีตพระราชวังยุคศตวรรษที่ 16 ถือครองโดย อุสตาจิโอ้ เดล มอนเต้ ญาติคนสนิทของผู้ครองแคว้นมอลต้านาม ฌองป์เดอลา วาเลตเต้ แรกเริ่มเดิมทีถูกใช้เป็นสถานที่บัญชาการรบของอัศวินในยุคนั้น และภายหลังเสร็จสิ้นสงครามได้ถูกต่อเติมเป็นพระราชวัง
แต่แล้วถูกโอนย้ายเปลี่ยนมือเป็นสถานที่พำนักของผู้ปกครองจากประเทศอังกฤษในช่วงศตวรรษที่ 19 และกลับมาถือครองโดยประเทศมอลต้าภายหลังประกาศเอกราชในปี ค.ศ.1964 และในปัจจุบันถูกใช้เป็นอาคารรัฐสภาแห่งมอลต้า สถานที่ทำงานของประธานาธิบดีแห่งมอลต้า
ภายในตัวอาคารตกแต่งแบบนิโอคลาสสิคและเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมในบางส่วนที่จัดแสดงเป็นพิพิธภัณฑ์สำหรับจัดแสดงเรื่องราวประวัติศาสตร์และยุทโธปกรณ์ของอัศวินในอดีต
จากนั้นเดินทางต่อไปที่เมืองบาร์เซโลนา ประเทศสเปน ชม โบสถ์ซากราดา ฟามีเลีย (La SagradaFamilia) หรือ มหาวิหารซากราด้าฟามิเลีย สัญลักษณ์แห่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของเมืองบาร์เซโลน่า ซึ่งมีความสูงถึง 170 เมตร ออกแบบก่อสร้างอย่างสวยงามแปลกตา
สร้างตั้งแต่ปี คศ.1882 โดย สถาปนิก “อันโตนิโอ เกาดี้” ใช้เวลาทำงานอยู่นานถึง 43 ปี ก่อนที่จะเสียชีวิตในปี 1926 ปัจจุบันยังคงดำเนินการก่อสร้างและคาดว่าจะแล้วเสร็จสมบูรณ์ในปี 2026
วิหารนี้มีความพิเศษคือ การรวบรวมรูปทรงและพื้นผิวต่างๆในธรรมชาติมาใช้ และสะท้อนให้เห็นถึงอิทธิพลของยอดเขาและความสูงของ มองต์เซร์ราตที่สวยงามแปลกตา เดินทางสู่ถนน La Ramblas อันเป็นที่ตั้งของตลาด Mercat de la Boqueria แห่งนี้ถือเป็นถนนคนเดินที่มีชื่อเสียงที่สุดในบาร์เซโลน่า
ทั้งนี้ La Ramblas เป็นถนนที่ทอดยาวมาจากจัตุรัส Plaza Catalunya ไปจนสุดท่าเรือ Port Vell โดยในระยะทาง 1.2 กิโลเมตร ล้วนเต็มไปด้วยสิ่งที่น่าสนใจมากมาย ทั้งแผงร้านค้าที่ขายกันตั้งแต่ของเก่า ดอกไม้ ภาพเขียน ไปจนถึงสัตว์เลี้ยง
แถมยังมีศิลปินพเนจรแขนงต่างๆ จากทั่วทุกสารทิศมาให้ได้เพลิดเพลินตลอดการเดินถนนอีกด้วย นอกจากนั้นถนนเส้นนี้ยังมีตึกเก่าในสถาปัตยกรรมแบบแปลกๆ ให้ได้ตื่นตาตื่นใจ แถมยังเป็นที่ตั้งสถานที่สำคัญจำพวกพิพิธภัณฑ์ พระราชวัง และโรงละครอีกด้วย
นั่งเรือต่อไปที่เมืองเมืองมาร์กเซย์ (MARSEILLES) เป็นเมืองท่าที่ใหญ่อันดับ 2 ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศฝรั่งเศส ซึ่งติดกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ทำให้เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจที่สำคัญในการค้าขายระหว่างประเทศแถบชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและประเทศอาณานิคมของฝรั่งเศสในอดีต จึงได้ชื่อว่าเป็น เมืองท่าแห่งประวัติศาสตร์
เข้าชม มหาวิหารประจำเมือง (NOTRE –DAME DE LA GARDE) ถือว่าเป็นแลนด์มาร์กของเมืองมาร์กเซย์สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 19 สมัยโรมัน-นีโอไบแซนไทน์ ที่ตั้งอยู่บนยอดเขา มีลักษณะโดดเด่น และสวยงามอย่างมาก
โดยตัวมหาวิหารนั้นทำมาจากหินอ่อนสีขาวสลับสีเทา ขณะที่ด้านหน้ามีหอระฆังทรงสี่เหลี่ยมตั้งอยู่ ส่วนบนยอดมีรูปปั้นของพระแม่มารีอุ้มเด็กหันหน้าออกสู่ทะเล ซึ่งเป็นที่เชื่อกันว่าจะช่วยปกปักรักษานักเดินเรือ
นอกจากนี้ระหว่างทางเดินขึ้นมหาวิหารยังมีลานกว้างเอาไว้สำหรับชมวิวทิวทัศน์อีกด้วย จากนั้นเดินชมบริเวณ ท่าเรือเก่า (VIEUX PORT) เป็นท่าเรือเก่าแก่ที่สุดของเมืองมาร์กเซย์ บริเวณท่าเรือเก่าแห่งนี้เป็นที่รู้จักกันในนามประตูสู่เมดิเตอร์เรเนียน เพราะเป็นพื้นที่ที่ติดกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
และในสมัยโบราณก็ยังเคยเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจที่สำคัญในการค้าขายระหว่างประเทศแถบชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและประเทศอาณานิคมของฝรั่งเศสอีกด้วย ปัจจุบันนี้ยังเป็นศูนย์รวมของนักท่องเที่ยวที่ต้องการซื้อตั๋วเรือท่องเที่ยวเพื่อเดินทางไปยังเกาะต่างๆ
หลังจากนั้นล่องเรือกลับมาที่ท่าเรือเมืองเจนัวเพื่อลงจากเรือ และพาเดินทางสู่ Serravalle Designer Outlet ตั้งอยู่ห่างจากเมืองมิลานเพียง 60 นาที เป็น outlet ที่มีพื้นที่มากที่สุดของยุโรป และบริหารงานโดย McArthurGlen Group เครือธุรกิจ Outlet ชั้นนำของยุโรป ซึ่งมี 13 แห่งในสหราชอาณาจักรฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ ออสเตรียและอิตาลี
ร้านค้าใน Serravalle มีทั้งหมดกว่า 180 ร้าน แหล่งช้อปปิ้งที่พร้อมมอบประสบการณ์การช้อปปิ้งแบบหรูหรา ด้วยร้านค้าที่นำเสนอแฟชั่นแบรนด์อิตาลีและแบรนด์ระดับโลกอื่นๆ
อาทิ Gucci, Prada, Armani, Burberry, Nike, Adidas, Michael Kors, Calvin Klein, Benetton, Guess เป็นต้น ในราคาที่ลดลงสุงสุดถึง 70% นอกจากนั้นยังมีร้านอาหาร และคาเฟ่หลากหลายให้เลือกใช้บริการอีกด้วย และช้อปปิ้งอย่างจุใจตามอัธยาศัย
ไปต่อกันที่เมืองมิลาน (Milan) หนึ่งในเมืองหลักของประเทศอิตาลี เป็นศูนย์กลางทั้งทางด้านการค้า ศิลปะ เศรษฐกิจ และการศึกษา และได้ชื่อว่าเป็น เมืองหลวงแห่งแฟชั่นและการออกแบบแวะเที่ยวชมแลนด์มาร์กของเมือง มหาวิหารมิลาน (Milan Cathedral) มหาวิหารประจำเมืองขนาดใหญ่แห่งนี้คือโบสถ์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศอิตาลี
เด่นด้วยศิลปะแบบโกธิคที่ตกแต่งด้านนอกด้วยยอดแหลมจำนวนมากถึง 135 ยอด พร้อมด้วยรูปแกะสลักจากหินอ่อนจำนวนมากที่ประดับอยู่โดยรอบปราสาทซฟอร์ซา (Sforza Castle) ก็เป็นจุดหมายที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาเยือนมิลาน ด้วยขนาดที่ใหญ่โตทำให้เป็นหนึ่งในป้อมปราการที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปช่วงศตวรรษที่ 16-17
ปัจจุบันภายในเป็นพิพิธภัณฑ์และแกลลอรี่ศิลปะสวยๆ ให้เข้าชมได้ ไม่ไกลจากมหาวิหารมิลาน จะเห็นอาคารสีขาวที่ดูภายนอกแม้จะไม่สะดุดตาเท่าไรนัก แต่ภายในนั้นอลังการด้วยโรงละครขนาดใหญ่และตกแต่งอย่างหรูหรา โรงละครลาสกาล่า (La ScalaTheatre) เป็นโรงละครคู่เมืองมิลานมากว่า 230 ปี เป็นสถานที่แสดงโชว์ชื่อดังมากมาย
และที่ด้านหน้าโรงละครสกาล่าบริเวณจัตุรัส พิอาซซ่า เดลล่า สกาล่า นี้เองที่จะได้เห็นรูปปั้น อนุสรณ์แห่งลีโอนาร์โด ดาวินซี (Statue of Leonardo Da Vinci) โดยสร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์แด่ลีโอนาร์โด ดาวินซี นักประดิษฐ์และนักวิทยาศาตร์คนสำคัญของโลก ก่อนที่จะเดินทางกลับประเทศไทยโดยสวัสดิภาพ
20 เมษายน 2562
ผู้ชม 2137 ครั้ง