สถิติ

73711226

ไทยกระอัก! GDP ทรุด1% เหลือ1.4%  

หมวดหมู่: การเงิน

   ไทยกระอัก! GDP ทรุด1% เหลือ1.4%

   หลังโดน Reciprocal Tariff ระดับ 37%

                              

   ในวันที่ 2 เม.. 2568 สหรัฐฯ ประกาศปรับเพิ่มภาษีศุลกากรแบบตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) กับทุกชาติ ซึ่งมองว่าเป็นเกมการเรียกเจรจาของสหรัฐฯ กับนานาประเทศเพื่อนำมาสู่ข้อตกลงใหม่ของสหรัฐฯ ที่ดีขึ้น

   ทั้งด้านเศรษฐกิจและความมั่นคง โดยหลังจากนี้ ต้องติดตามผลการเจรจาที่ออกมา ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดทิศทางการค้าของแต่ละประเทศในระยะข้างหน้า 

   ไทยโดนภาษีในอัตรา 37% (ขยับจากเดิม 36%) ในขณะที่คู่ค้าอื่นๆ ถูกปรับขึ้นภาษีศุลกากรแบบตอบโต้ในอัตราที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งจะมีผลตั้งแต่วันที่ 9 เม.. 2568

   นอกจากนี้ สหรัฐฯ จะเรียกเก็บภาษีนำเข้าในอัตรา 10% สำหรับคู่ค้าอื่นๆ ที่ไม่ได้ถูกเรียกเก็บภาษีศุลกากรแบบตอบโต้ โดยจะมีผล ตั้งแต่วันที่ 5 เม.ย. 2568

   ขณะที่ สินค้าเหล็กและอะลูมิเนียม รถยนต์และชิ้นส่วน ที่อยู่ใน Section 232 ซึ่งถูกจัดเก็บอัตราภาษีนำเข้าที่ 25% นั้น จะถูกยกเว้นภาษีศุลกากรแบบตอบโต้

   ส่วนยา เซมิคอนดักเตอร์ ผลิตภัณฑ์ไม้ ทองแดง ก็ถูกยกเว้นภาษีศุลกากรแบบตอบโต้ แต่จะถูกจัดเก็บอัตราภาษีนำเข้าภายใต้ Section 232 หรือไม่นั้น ต้องรอติดตามความชัดเจนต่อไป

   ผลกระทบต่อการค้าของไทย (ยังไม่ได้รวมผลจากการเจรจา) : ส่งออกไทยปี 2568 มีแนวโน้มหดตัวลงมาอยู่ที่ -0.5% จากประมาณการเดิมที่ 2.5% จากการปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ กับสินค้าไทยที่อัตรา 37% มากกว่าที่คาดไว้ที่อัตรา 10% อย่างมีนัยสำคัญ

   ผลกระทบทางตรง : การส่งออกไทยไปยังสหรัฐฯ คาดว่าจะหดตัวที่ -10% ในปี 2568 จากความต้องการสินค้าไทยของสหรัฐฯ มีแนวโน้มลดลงอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มสินค้าที่ไทยพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ มาก

   และ/หรือกลุ่มที่อัตราภาษีนำเข้าที่ไทยถูกเรียกเก็บจากสหรัฐฯ อยู่ในระดับสูงกว่าคู่แข่ง ได้แก่ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ อุปกรณ์ไฟฟ้า ชิ้นส่วนยานยนต์ ยางล้อ อาหาร (ข้าว ปลา กุ้ง อาหารสัตว์เลี้ยง) และเครื่องประดับ เป็นต้น

   ซึ่งในภาวะที่การแข่งขันในตลาดโลกอยู่ในระดับสูงและอัตรากำไรมีจำกัด ส่งผลให้ผู้ประกอบการไทยอาจไม่สามารถปรับลดราคาสินค้าเพื่อรักษาอุปสงค์ได้มากเท่าใดนัก 

   ผลกระทบทางอ้อม: การส่งออกไทยไปยังตลาดอื่นๆ คาดว่าจะได้รับผลกระทบมากขึ้นจากการส่งออกสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับห่วงโซ่อุปทานของคู่ค้าต่างๆ ที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ

   โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งออกสินค้าไปยังจีน อาเซียน สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสินค้าประเภทชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนยานยนต์ ยางล้อ โพลิเมอร์ เคมีภัณฑ์ เป็นต้น

   การส่งออกไทยไปยังตลาดอื่นๆ ที่มีแนวโน้มเผชิญการแข่งขันที่สูงขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสินค้าจีน อาทิ รถยนต์ ชิ้นส่วน อิเล็กทรอนิกส์ เฟอร์นิเจอร์ อุปกรณ์ไฟฟ้า ของเล่น พลาสติกและโพลิเมอร์ เป็นต้น

   การส่งออกในภาพรวมได้รับผลกระทบจากอุปสงค์โลกที่ชะลอลง โดยการปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ กับคู่ค้าทั่วโลกในระดับสูงคาดว่าจะเป็นปัจจัยกดดันการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปีนี้อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งจะกระทบสินค้าอื่นๆ เช่น เกษตรและอาหาร รวมถึงน้ำมันสำเร็จรูปด้วย

   อย่างไรก็ตามประมาณการการส่งออกนี้ได้คำนึงแรงหนุนบางส่วนจากมูลค่าการส่งออกทองคำที่ปรับสูงขึ้นตามปัจจัยด้านราคาและอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นเข้าไปแล้ว โดยคาดว่ามูลค่าการส่งออกทองคำจะมีสัดส่วนต่อการส่งออกโดยรวมเพิ่มจาก 9% ในปี 2567 มาอยู่ที่ 3.4% ในปี 2568 

   ในด้านการนำเข้าปี 2568 คาดว่าจะขยายตัวชะลอลงมาอยู่ที่ 1.0% จากประมาณการเดิมที่ 3.4% จากการนำเข้าวัตถุดิบและสินค้าขั้นกลางของไทยที่คาดว่าจะปรับลดลงสอดคล้องกับการส่งออก ประกอบกับทิศทางราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ลดลง

   นอกจากนี้ได้คำนึงถึงแรงหนุนบางส่วนจากมูลค่าการนำเข้าทองคำที่คาดว่าจะขยายตัวตามราคาที่ปรับสูงขึ้นแล้ว อย่างไรก็ตามเนื่องจากฐานมูลค่าการนำเข้าทองคำอยู่ในระดับสูงในปีก่อนหน้า จึงคาดว่ามูลค่าการนำเข้าทองคำจะขยายตัวในอัตราที่ต่ำกว่ามูลค่าการส่งออกทองคำในปีนี้

   ผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจไทย: การลงทุนเอกชนจะมีความล่าช้าออกไป และการบริโภคครัวเรือนได้รับผลกระทบเพิ่มเติมจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว เช่นเดียวกับภาคการท่องเที่ยวที่มีความเสี่ยงมากขึ้น

   อย่างไรก็ตามผลกระทบจากการสงครามการค้ายังมีความไม่แน่นอน โดยยังขึ้นอยู่กับการเจรจาของแต่ละประเทศกับสหรัฐฯ ซึ่งอาจส่งผลให้อัตราภาษีนำเข้าที่สหรัฐฯ เรียกเก็บมีการเปลี่ยนแปลงได้ในระยะข้างหน้า ในขณะที่ยังต้องติดตามมาตรการเยียวยาผลกระทบดังกล่าวจากภาครัฐ 

   เม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศที่คาดว่าจะเข้ามาจากยอดขอรับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI ในปีก่อนหน้าอาจล่าช้าออกไป ท่ามกลางความไม่แน่นอนเกี่ยวกับทิศทางการค้าและห่วงโซ่อุปทานโลก

   ประกอบกับได้คำนึงถึงผลกระทบของเหตุการณ์แผ่นดินไหวในวันที่ 28 มี.ค. ที่คาดว่าจะส่งผลให้การก่อสร้างในภาคอสังหาริมทรัพย์อาจล่าช้าออกไปเล็กน้อย

   จากก่อนหน้านี้ที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองการลงทุนภาคเอกชนในภาคก่อสร้างหดตัวต่อเนื่องในปีนี้อยู่แล้ว ส่งผลให้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองการลงทุนภาคเอกชนปี 2568 จะลดลงมาอยู่ที่ 1.4% จากประมาณการเดิมที่ 2.5% 

   การบริโภคภาคเอกชนได้รับผลกระทบเพิ่มเติมจากความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ลดลงจากเหตุการณ์แผ่นดินไหววันที่ 28 มี.ค. 2568 ในขณะที่ผลกระทบจากการปรับขึ้นภาษีของสหรัฐฯ คาดว่าจะส่งผลกระทบผ่านการชะลอตัวของเศรษฐกิจ

   ภาคการผลิตของไทยที่อาจจะหดตัวลึกขึ้น ส่งผลต่อการจ้างงานที่ชะลอลง ในภาวะที่หนี้ครัวเรือนยังสูง ส่งผลให้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของการบริโภคภาคเอกชนลงมาอยู่ที่ 2.0% จากประมาณการเดิมที่ 2.4% 

   ตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว ซ้ำเติมจำนวนนักท่องเที่ยวสำคัญที่เดิมก็มีสัญญาณปรับลดลงอยู่แล้วตั้งแต่กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เช่น จีน มาเลเซีย เกาหลีใต้ เป็นต้น

   ภายใต้การแข่งขันในการดึงนักท่องเที่ยวของประเทศต่างๆ และเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวในช่วงข้างหน้า ทำให้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ปรับลดคาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยในปีนี้มาอยู่ที่ 35.9 ล้านคน จากประมาณการเดิมที่ 37.5 ล้านคน 

   ในเบื้องต้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินผลกระทบในเหตุการณ์ต่างๆ ที่มีต่อเศรษฐกิจไทย และคาดว่าขนาดผลกระทบดังกล่าวอยู่ที่ 1.0% ของ GDP

   ส่งผลให้ GDP ปี 2568 มีแนวโน้มขยายตัวลดลงจาก 2.4% มาอยู่ที่ 1.4% โดยมองว่าเศรษฐกิจไทยจะชะลอตัวลงอย่างมากในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ 

   นโยบายการเงินการคลังอาจจะต้องผ่อนคลายมากกว่าที่ประเมิน โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ดอกเบี้ยนโยบายอาจจะปรับลดเร็วขึ้นในเดือนเม.ย. 2568

   และปรับลดเพิ่มเติมอีกอย่างน้อยอีก 1 ครั้งในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 รวมถึงมาตรการการคลังที่จะออกมาเพื่อรองรับผลกระทบดังกล่าว ท่ามกลางข้อจำกัดพื้นที่การคลังที่มากขึ้น 

   ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ภาครัฐควรเร่งสร้างความชัดเจนทั้งข้อเสนอการเจรจาผ่อนปรนเงื่อนไขทางการค้ากับสหรัฐฯ รวมถึงกำหนดระยะเวลาที่ชัดเจน

   ตลอดจนการประเมินผลกระทบและแนวทางเยียวยาภายใต้กรณีต่างๆ เพื่อสร้างความมั่นใจต่อนักลงทุนและความเชื่อมั่นต่อภาคธุรกิจและครัวเรือน

03 เมษายน 2568

ผู้ชม 66 ครั้ง

Engine by shopup.com