SJWD วางกลยุทธ์ต่อยอด Synergy สร้างการเติบโต
SJWD วางกลยุทธ์ต่อยอด Synergy สร้างการเติบโต
SJWD วางกลยุทธ์ต่อยอด Synergy สร้างการเติบโต
รุกธุรกิจดาวรุ่ง เล็งนำสินทรัพย์ 4,000 ลบ.เข้ากองรีท
“บมจ.เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์” หรือ SJWD มุ่งเติบโตอย่างต่อเนื่องบนพื้นฐานที่แข็งแกร่ง จากการต่อยอด Synergy ของกลุ่มธุรกิจต่างๆ และพาร์ทเนอร์
ให้ความมั่นใจฐานะการเงินแข็งแกร่ง อัตราหนี้สินต่อทุนต่ำ และมีฐานลูกค้าในเครือ SCG ช่วยเพิ่มความมั่นคงแก่รายได้และมีโอกาสขยายการให้บริการได้อีกในอนาคต
ปี 2568 มุ่งขยายธุรกิจดาวรุ่งที่มีศักยภาพ โฟกัส “คลังสินค้าห้องเย็น รับฝากและบริหารยานยนต์ ตัวแทนขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ ธุรกิจในต่างประเทศ” ขับเคลื่อนการเติบโต วางแผนเสนอขายคลังสินค้าทั่วไปภายใต้บริษัทร่วมทุนเข้ากองรีท
นายบรรณ เกษมทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SJWD
ผู้ให้บริการโลจิสติกส์และซัพพลายเชนแบบครบวงจรรายใหญ่ที่สุดในอาเซียน เปิดเผยว่า บริษัทฯ มุ่งสร้างการเติบโตอย่างเนื่องเพื่อบรรลุเป้าหมายเพิ่มมาร์เก็ตแคปเป็น 100,000 ล้านบาท และเพิ่มสัดส่วนกำไรจากต่างประเทศเป็น 40% ภายในปี 2573
รวมถึงมุ่งสู่ Net Zero ภายในปี 2593 ผ่านการให้บริการ Green Logistics และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนใน Scope 1 Scope 2 และ Scope 3 โดยปัจจุบันบริษัทฯ ดำเนินธุรกิจในอาเซียน 9 ประเทศ และจีนตอนใต้
มีพื้นที่คลังสินค้าทั่วไป คลังสินค้าอันตราย ลานจอดยานยนต์ สินค้าควบคุมอุณหภูมิ รวมทั้งสิ้นกว่า 2.3 ล้านตารางเมตร มีเครือข่ายรถขนส่งกว่า 14,000 คัน เครือข่ายเรือบรรทุกสินค้ากว่า 220 ลำ และฐานลูกค้ากว่า 2,400 ราย รวมถึงมีพาร์ทเนอร์ชั้นนำในธุรกิจโลจิสติกส์และซัพพลายเชน
ทั้งนี้ในปีที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้ขยายธุรกิจและการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ อาทิ เข้าถือหุ้น 20.12% ใน บมจ.เอเชีย เน็ตเวิร์ค อินเตอร์เนชั่นแนล หรือ ANI ผู้นำธุรกิจตัวแทนขายระวางสินค้าสายการบินหรือ GSA ในไทย,
เข้าถือหุ้น 20.48% ใน Swift Haulage Berhad หรือ SWIFT (สวิฟท์) ผู้ดำเนินธุรกิจ Integrated Logistics ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มาเลเซีย, จัดตั้งบริษัท เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี เฟรท จำกัด เพื่อปรับโครงสร้างและเพิ่มศักยภาพให้บริการตัวแทนขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ
นอกจากนี้ได้ก่อสร้างคลังสินค้าห้องเย็นแห่งใหม่ที่เชียงใหม่แล้วเสร็จ มีพื้นที่ 2,700 ตารางเมตร เปิดบริการคลังสินค้าทั่วไป 2 แห่ง ในนิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี มีพื้นที่รวมกว่า 54,000 ตารางเมตร
ภายใต้บริษัท แอลฟา อินดัสเตรียล โซลูชั่นส์ จำกัด ที่ร่วมทุนกับ บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ หรือ ORI ฯลฯ และได้ขยายบริการแก่ลูกค้ารายใหญ่ บมจ. ปตท.น้ำมันและค้าปลีก หรือ OR
โดยนำเสนอ Green Logistics Solution เพื่อให้บริการขนส่งอาหารและเบเกอรี่แก่ร้านคาเฟ่อเมซอน รวมถึงได้รับรางวัล Highly Commended Supply Chain Management Awards จาก SET Awards 2024 และการประเมิน SET ESG Rating 2024 ระดับ AAA
ขณะที่ฐานะทางการเงินของบริษัทฯ มีความแข็งแกร่ง โดย ณ สิ้นปี 2567 มีอัตราหนี้สินต่อทุนที่มีภาระดอกเบี้ย 0.67 เท่า มีเงินสดคงเหลือ (Cashflow Surplus) ณ สิ้นปี 2567 กว่า 2,400 ล้านบาท และการเสนอขายหุ้นกู้เดือนกันยายนปีที่ผ่านมาวงเงินไม่เกิน 4,200 ล้านบาท มีนักลงทุนต้องการจองซื้อมากกว่ามูลค่าที่เสนอขาย
นอกจากนี้บริษัทฯ มีฐานลูกค้าในเครือ SCG ช่วยเพิ่มความมั่นคงแก่รายได้และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากร อย่างไรก็ตามปัจจุบันบริษัทฯ มีสัดส่วนให้บริการโลจิสติกส์และซัพพลายเชนประมาณ50% ของเครือ SCG เท่านั้น
จึงมีโอกาสขยายฐานการให้บริการได้อีกในอนาคต ประกอบกับ SCG ปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจอยู่ตลอด จึงมั่นใจว่าปริมาณการขนส่งสินค้าแก่เครือ SCG จะไม่ลดลงในปีนี้
นายชวนินทร์ บัณฑิตกฤษดา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม SJWD กล่าวว่า ปี 2568 บริษัทฯ มุ่งสร้างเติบโตผ่านการต่อยอดการ Synergy ของกลุ่มธุรกิจต่างๆ และพันธมิตรธุรกิจ โดยมุ่งขยายธุรกิจดาวรุ่งที่มีศักยภาพ
ได้แก่ “ธุรกิจคลังสินค้าห้องเย็น” จะเปิดบริการห้องเย็นใหม่อีก 4 แห่งในปีนี้ พื้นที่รวมกว่า 37,000 ตารางเมตร ได้แก่ เชียงใหม่ (ก่อสร้างเสร็จปลายปีที่ผ่านมา) 2,700 ตารางเมตร, สระบุรี (เฟส 2) 3,400 ตารางเมตร, รังสิต 14,595 ตารางเมตร
และห้องเย็น (เฟส 3) ของบริษัท เอสซีจี นิชิเร พื้นที่ 17,091 ตารางเมตร ที่จังหวัดปทุมธานี รวมถึงจะขยายบริการคลังสินค้าห้องเย็นแก่กลุ่มอุตสาหกรรมยาและเฮลท์แคร์ วางแผนร่วมทุนกับลูกค้าสร้างคลังสินค้าห้องเย็นแห่งใหม่ ศึกษาดีลกับพาร์ทเนอร์ ตลอดจนขยายเครือข่ายขนส่งแบบควบคุมอุณหภูมิ
“ธุรกิจรับฝากและบริหารยานยนต์” บริษัทฯ ให้บริการแก่รถยนต์กว่า 500,000 คันในปีที่ผ่านมา คิดเป็นส่วนแบ่งตลาดกว่า 1 ใน 3 ของจำนวนรถยนต์ที่ผลิตในประเทศรวมกว่า 1.46 ล้านคัน แผนงานปีนี้จะขยายการให้บริการแก่รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น และขยายบริการนำเข้าและส่งออกวัตถุดิบและชิ้นส่วนยานยนต์
“ธุรกิจ Freight” หรือตัวแทนขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ จะเพิ่มรายได้เป็น 2,500 ล้านบาทภายในปี 2572 จากปีที่ผ่านมามีรายได้ 1,500 ล้านบาท ล่าสุด ได้จัดตั้งบริษัท เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี เฟรท จำกัด เพื่อเพิ่มศักยภาพให้บริการ รวมถึงจะรุกสร้าง New S-Curve
จากการเป็นผู้ให้บริการโลจิสติสก์ครบวงจรรายแรกที่มีบริการดิจิทัลแพลตฟอร์ม สำหรับเชื่อมโยงข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ NSW Service Provider (NSP) ซึ่งเป็นระบบบริการจัดส่งข้อมูลที่เชื่อมต่อหน่วยงานภาครัฐ (กรมศุลกากร) และภาคธุรกิจ
สำหรับการนำเข้า ส่งออก และโลจิสติกส์และจะผสานความร่วมมือกับ ANI และ บมจ.ไซไน โลจิสติกส์ คอร์ปอเรชั่น หรือ SINO ในฐานะพาร์ทเนอร์ เชื่อมโครงข่ายบริการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ
ส่วน “ธุรกิจต่างประเทศ” จะโฟกัสการขยายธุรกิจในจีน เวียดนาม มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ โดยในจีนจะร่วมมือกับ JUSDA ให้บริการขนส่งสินค้าข้ามแดน คลังสินค้า และนำเข้า-ส่งออก จากจีนมาไทยและภูมิภาคอาเซียน
โดยเฉพาะอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า ชิ้นส่วนยานยนต์ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอกนิกส์ และเครื่องจักร เพื่อเชื่อมต่อการขนส่งสินค้าระหว่างจีน เวียดนาม สปป.ลาว ไทย มาเลเซีย และสิงคโปร์ ซึ่งมีมูลค่าตลาดถึง 26,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปีที่ผ่านมา
และร่วมกับ Ruiyun Logistics ศึกษาโอกาสทางธุรกิจบริการขนส่งสินค้าควบคุมอุณหภูมิข้ามแดนระหว่างไทย เวียดนาม และจีน ส่วนในเวียดนามจะเริ่มรับรู้รายได้เต็มปีจากการถือหุ้น 100% ใน SCGJWD Logistics (Vietnam) Co., Ltd. (เดิมชื่อ SCG International Vietnam)
และปีที่ผ่านมาบริษัทฯ ดังกล่าวได้รับงานจาก VIETNAM CONSTRUCTION MATERIALS JOINT STOCK COMPANY (VCM) ในเครือเอสซีจี ผู้ผลิตซีเมนต์ในเวียดนาม เพื่อให้บริการโลจิสติกส์ครบวงจรแบบ End-to-End Supply Chain Solution
ขณะที่มาเลเซียได้ร่วมกับ SWIFT จัดตั้งบริษัทร่วมทุนเพื่อรุกธุรกิจคลังสินค้าห้องเย็นในมาเลเซีย 3 แห่ง พื้นที่รวมกันกว่า 31,000 ตารางเมตร คาดว่าจะทยอยเปิดบริการไตรมาส 1/2569
รวมถึงจะใช้ความเชี่ยวชาญขยายธุรกิจในธุรกิจรับฝากและบริหารยานยนต์ในอินโดนีเซีย และรุกขยายธุรกิจคลังสินค้าห้องเย็นในอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ที่มีศักยภาพเติบโตสูง
นอกจากนี้ธุรกิจคลังสินค้าทั่วไปที่ดำเนินการก่อสร้างโดยบริษัทแอลฟา อินดัสเทรียล โซลูชั่น จำกัด มีแผนเสนอขายสินทรัพย์บางส่วน มูลค่าประมาณ 4,000 ล้านบาท แก่กองรีทที่เป็นพาร์ทเนอร์เพื่อนำมาขยายการลงทุนต่อเนื่อง
และในเดือนกันยายน 2568 นี้คาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้จากการเปิดดำเนินการและรับบริหารคลังสินค้าแห่งใหม่ในย่านนิคมอุตสาหกรรมบางกระดีแก่บริษัท บี.กริม แคเรียร์ (ประเทศไทย) จำกัด
และบริษัท แคเรียร์ (ประเทศไทย) จำกัด รวมถึงให้บริการด้านโลจิสติกส์และ Fulfillment ซึ่งจะสนับสนุนการเติบโตและตอกย้ำศักยภาพธุรกิจที่แข็งแกร่งของบริษัท
18 มีนาคม 2568
ผู้ชม 145 ครั้ง