TCAP แจงผลงานปี 67 กำไรโตแค่ 0.7%
TCAP แจงผลงานปี 67 กำไรโตแค่ 0.7%
TCAP แจงผลงานปี 67 กำไรโตแค่ 0.7%
ดอกเบี้ย-หนี้เสียฉุด!สินเชื่อราชธานีลิสซิ่ง
บริษัท ทุนธนชาต จำกัด (มหาชน) “TCAP” เปิดเผยผลการดำเนินงานปี 2567 โดย TCAP มีกำไรสุทธิตามงบการเงินรวมในปี 2567 จำนวน 7,027 ล้านบาท เป็นกำไรสุทธิส่วนของบริษัท จำนวน 6,646 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิส่วนของบริษัทจำนวน 6,603 ล้านบาท
นายสมเจตน์ หมู่ศิริเลิศ กรรมการผู้จัดการใหญ่ TCAP เปิดเผยว่า จากภาวะเศรษฐกิจในปี 2567 ที่มีการอัตราการขยายตัวต่ำกว่าที่คาดการณ์ และเป็นการเติบโตแบบไม่ทั่วถึง กลุ่มธนชาต จึงให้ความสำคัญกับการสร้างความมั่นคงของบริษัทในกลุ่ม และดำเนินธุรกิจด้วยความระมัดระวังอย่างต่อเนื่องมาจากปีก่อน
ส่งผลให้บริษัทและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิตามงบการเงินรวมในปี 2567 จำนวน 7,027 ล้านบาท โดยเป็นกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัท จำนวน 6,645 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.7% จากปีก่อน (Y-Y) ที่มีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัท จำนวน 6,603 ล้านบาท
ซึ่งสาเหตุหลักมาจากการเติบโตของส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนที่ TCAP ลงทุนในบริษัทร่วมที่เติบโตขึ้นถึง 19% Y-Y ตามผลการดำเนินงานของบริษัทร่วมที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องหลังจากผ่านช่วง COVID-19 มา
อย่างไรก็ตามรายได้ดอกเบี้ยสุทธิปรับลดลงตามปริมาณสินเชื่อเช่าซื้อของราชธานีลิสซิ่ง (THANI) ที่ปรับลดลง ตามนโยบายการปล่อยสินเชื่อที่เข้มงวดขึ้นและการชะลอตัวของตลาดรถบรรทุก
และการผิดนัดชำระหนี้ลูกค้าบัญชีกู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์และการปิดสถานะสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ในไตรมาสสุดท้ายของปี แต่ในภาพรวมแล้ว ผลการดำเนินงานของปี 2567 ยังอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ เมื่อพิจารณาจากปัจจัยภายนอกที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของบริษัทในกลุ่ม
นายสมเจตน์ กล่าวต่อไปว่า สำหรับปี 2568 เศรษฐกิจไทยยังคงต้องเผชิญความกดดันจากทั้งปัจจัยภายนอกและภายใน อาทิ นโยบายของประเทศเศรษฐกิจหลัก การชะลอตัวลงของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์
รวมถึงปัญหาหนี้ภาคครัวเรือน ซึ่งอาจส่งผลให้เศรษฐกิจเติบโตในอัตราที่ชะลอตัวลงและยังคงเติบโตแบบไม่ทั่วถึง และอาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัทย่อยและบริษัทร่วมของ TCAP
ดังนั้นเพื่อให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงเติบโตแบบไม่ทั่วถึงดังกล่าว การดำเนินธุรกิจของกลุ่มธนชาตในปี 2568 จึงยังคงเน้นเรื่องการสร้างความมั่นคงของบริษัทในกลุ่ม และดำเนินธุรกิจด้วยความระมัดระวัง เติบโตแบบค่อยเป็นค่อยไป พร้อมทั้งแสวงหาโอกาสลงทุนในธุรกิจอื่นๆ ที่มีศักยภาพต่อไป
“ถึงแม้ว่าในปี 2567 ที่ผ่านมา บริษัทและบริษัทย่อยจะมีผลการดำเนินงานเติบโตขึ้นเล็กน้อย แต่ผลการดำเนินงานในอนาคตยังมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น คณะกรรมการบริษัทจึงได้มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัทในอัตราหุ้นละ 1.25 บาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่จ่ายปันผลระหว่างกาลหุ้นละ 1.20 บาท
และคณะกรรมการบริษัทยังได้มีมติให้เสนอต่อผู้ถือหุ้นเพื่อจ่ายเงินปันผลจากผลการดำเนินงานครึ่งปีหลังของปี 2567 ในอัตราหุ้นละ 2.05 บาท ซึ่งเมื่อรวมกับเงินปันผลระหว่างกาลแล้ว จะเป็นเงินปันผลที่จ่ายสำหรับผลการดำเนินงานปี 2567 ในอัตราหุ้นละ 3.30 บาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่จ่ายในอัตราหุ้นละ 3.20 บาท” นายสมเจตน์ กล่าวสรุป
08 มีนาคม 2568
ผู้ชม 44 ครั้ง