"เบเยอร์" เดินหน้า"เปลี่ยนใหญ่"ทุ่ม 30 ล้านบาท
"เบเยอร์" เดินหน้า"เปลี่ยนใหญ่"ทุ่ม 30 ล้านบาท
"เบเยอร์" เดินหน้า"เปลี่ยนใหญ่"ทุ่ม 30 ล้านบาท
รุก!ตลาดสีทาบ้านรักษ์โลกรับเทรนด์โตปีละ15%
เบเยอร์ ยังคงเดินหน้าสานต่อแนวคิด "Eco-Wellness Innovation" พร้อมต่อยอดพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้วย "นวัตกรรม" เปิดตัวผลิตภัณฑ์ "BegerCool" โดยใช้เทคโนโลยี "AeroTech" วัสดุแห่งอนาคตเข้ามาเสริมแกร่งให้กับผนังบ้าน
ภายใต้แนวคิด "เย็นขึ้น ทนกว่า" เพื่อยืนหยัดการเป็น The Best Cool Paint พร้อมปักธงร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนผ่านภาคธุรกิจด้วยสีรักษ์โลก
ปูพรมเติมเต็มอาคารรักษ์โลกหรือ "Low Carbon Building Design" ในห่วงโซ่อุปทานทางธุรกิจ มุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero Emissions
ดร.วรวัฒน์ ชัยยศบูรณะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทสีเบเยอร์ เปิดเผยว่า กว่า 6 ทศวรรษในการดำเนินธุรกิจ หนึ่งในกุญแจที่สำคัญของการพัฒนาสินค้าและผลิตภัณฑ์จนกลาย เป็นที่ยอมรับในระดับสากล
รวมถึงในตลาดผู้บริโภคทั้งบ้านเรือน อาคารและสำนักงาน คือ การนำเอานวัตกรรมมาผนวกใช้อย่างต่อเนื่อง ซึ่ง "เบเยอร์คูล (BegerCool)" ถือเป็นผลิตภัณฑ์เรือธงในผลงาน เชิงประจักษ์ที่ยังคงเดินหน้าพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง
การันตีด้วยรางวัลชนะเลิศ (Champ of the Champ) จากเวทีนวัตกรรมแห่งชาติ ประจำปี 2567 เพียงหนึ่งเดียว ซึ่งได้รับการคัดเลือกจาก 300 แบรนด์
โดยประกอบไปด้วยบริษัทชั้นนำจากทุกอุตสาหกรรมทั่วประเทศ และ ยอดขายอันดับ 1 กว่า 18 ปี ในฐานะ "ผู้นำตลาดสีบ้านเย็น" ล่าสุดได้ต่อยอดผลิตภัณฑ์
ผ่านการนำเอาเทคโนโลยี "AeroTech" มาพัฒนาทำให้สีทาบ้านของเบเยอร์มีความ "เย็นขึ้น ทนกว่า" พร้อมตอบโจทย์และเติมเต็มทุกการอยู่อาศัยได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน
เบเยอร์ ให้ความสำคัญต่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้วยนวัตกรรมอย่างต่อเนื่องตามกรอบแนวคิด “Eco-Wellness Innovation” โดยสำหรับผลิตภัณฑ์ จากเบเยอร์ อย่าง "เบเยอร์คูล"
ล่าสุดได้นำเอาเทคโนโลยี “AeroTech” มาผนวกใช้ควบคู่กับ "Ceramic Cooling" ในการการผลิตซึ่งมีความโดดเด่นในด้านสะท้อนความร้อนได้อย่างเต็มประสิทธิภาพยิ่งที่สุดแห่งยุค จนเกิดการพัฒนาที่รักษ์บ้านและรักษ์โลกขั้นกว่า
ด้วยหลักการทำงาน “Double Cool, Double Protection” ช่วยสะท้อนความร้อน ส่งผลให้ฟิล์มสีมีความทนทาน และไม่ถูกทำลายจากความร้อนช่วยให้ผนังบ้านมีความเย็นขึ้น
โดยเบเยอร์มุ่งมั่นผสานคุณสมบัติที่โดดเด่น (High Performance) และความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อตอบสนองคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้นพร้อมกับการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างครอบคลุมในทุกห่วงโซ่อุปทาน
"สำหรับความโดดเด่นของ เบเยอร์คูลที่มาพร้อมกับ เทคโนโลยี AeroTech เสมือนฉนวนกันความร้อนที่มีประสิทธิภาพที่สุดในโลกชนิดหนึ่ง โดยผลิตจากซิลิกา/ซิลิเกต (Sillica/Silicate) ทนทานต่อรังสี UV
สามารถ "สะท้อนและสกัดกั้นความร้อนได้สูงสุดถึง 97.5%” ไม่ให้เข้าสู่ตัวบ้าน ทดสอบโดยสถาบันทดสอบด้านรังสีและความร้อน OTM Solutions ประเทศสิงคโปร์
ซึ่งจากการทดสอบสามารถ "ลดอุณหภูมิได้สูงสุด 6 องศาเซลเซียส" และช่วย "ประหยัดค่าไฟได้กว่า 32%" และที่สำคัญความโดดเด่นในการทนทานต่อความร้อนนั้นส่งผลให้บ้านหรืออาคารที่เลือกใช้สีเบเยอร์คูลมีอายุการใช้งานที่นานขึ้นกว่า 10 ปี
อย่างไรก็ดีเบเยอร์ยังคง มุ่งเน้นการผลิตสินค้าคาร์บอนต่ำที่ลดการปล่อยคาร์บอนจากการผลิต (embodied carbon) ให้น้อยที่สุด ควบคู่ไปกับการให้ความสำคัญ
ในการลดการปล่อยคาร์บอนจากการใช้พลังงานไฟฟ้าในการทำความเย็นในบ้านหรือในตัวอาคารหลังจากผู้อยู่อาศัยย้ายเข้ามา (operational carbon)
ส่งผลให้ตลอดการดำเนินงานที่ผ่านมา เบเยอร์สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกแล้วกว่า 350,000,000 กิโลกรัมคาร์บอนหรือเทียบเท่าการปลูกต้นไม้ชดเชยมากกว่า 5,594,492 ต้น
โดยวันนี้ถือได้ว่า เบเยอร์ เป็นผู้ผลิตสีรายแรกในประเทศที่ผลักดันให้เกิดสินค้าสีที่ช่วยสะท้อนความร้อนและเป็นฟันเฟืองสำคัญในอุตสาหกรรมสีที่ขับเคลื่อนผลิตภัณฑ์ด้วยนวัตกรรมที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม" ดร.วรวัฒน์ กล่าวเสริม
คุณพงษ์เชิด จามีกรกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เบเยอร์ จำกัด กล่าวว่า ในทศวรรษที่ผ่านมาอุตสาหกรรมสีทาบ้านมีการแข่งขันสูง ซึ่งที่ผ่านมา เบเยอร์ ให้ความสำคัญทั้งในด้านคุณภาพและเทคโนโลยีผ่านการต่อยอดสร้างนวัตกรรมที่สอดรับกับความต้องการของตลาด
โดยเฉพาะในด้านการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อมส่งผลให้เบเยอร์คูลกลายเป็นที่ยอมรับในตลาดสีรักษ์โลกตลอด 1-2 ทศวรรษที่ผ่านมา สำหรับในปี 2568 เบเยอร์ ตั้งเป้าขยายส่วนแบ่งทางการตลาดในกลุ่มสีรักษ์โลกปีละ 15% ภายใน 1-2 ปีจากนี้ โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีการเติบโตสูง
ซึ่งนอกจากเป็นที่ต้องการในตลาดสีแล้วยังสอดคล้องกับนโยบายจากภาครัฐที่มุ่งส่งเสริมและสนับสนุนแนวทางการใช้วัสดุรักษ์โลกและช่วยลดคาร์บอน หรือ "Green Product" ในขณะที่มูลค่าตลาดสีรวมในไทยมีกว่า 22,000 ล้านบาท ซึ่งสีเบเยอร์มีส่วนแบ่งการตลาดอยู่อยู่ในอันดับ 2
ซึ่งนอกจากเป็นที่ต้องการในตลาดสียังสอดคล้องกับนโยบายจากภาครัฐที่มุ่งส่งเสริมและสนับสนุนแนวทางการใช้วัสดุรักษ์โลกและช่วยลดคาร์บอนหรือ "Green Product"
"สำหรับแผนการพัฒนาของเบเยอร์ในปี 2568 ยังคงมุ่งมั่นในการพัฒนาสินค้าและผลิตภัณฑ์ที่มีการปล่อยคาร์บอนต่ำเพื่อให้สอดรับกับมาตรการ CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) และ Carbon Tax ของตลาดโลก
รวมถึงนำเอานวัตกรรมมาผนวกใช้เพื่อสร้างผลลัพธ์เชิงบวกตลอดห่วงโซ่อุปทานทางธุรกิจ โดยที่ผ่านมาได้มีการจัดตั้ง "Net Zero Innovation & Solution Center" เพื่อเป็นศูนย์กลางให้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์
และผู้ที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมก่อสร้างทั้งห่วงโซ่อุปทานมาพัฒนาโครงการต้นแบบในการสร้างธุรกิจคาร์บอนต่ำ มากไปกว่านั้นยังมุ่งเน้นการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในทุกกระบวนการ ตั้งแต่ ต้นน้ำ-ปลายน้ำ
และใช้สีนวัตกรรมรักษ์โลกขยายผลสู่ภาคอุตสาหกรรมต่างๆ อาทิ ภาคการก่อสร้าง เพื่อร่วมสร้างอาคารเขียวรักษ์โลกหรือ "Low Carbon Building Design" เป็นไปได้ง่ายขึ้นและเข้าถึงได้มากขึ้นให้กับเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมไทย
เพื่อบรรลุเป้าหมายร่วมกันในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็นศูนย์ หรือ Net Zero อย่างยั่งยืน สอดรับกับพันธกิจที่สำคัญของเบเยอร์ในการเป็น "ผู้นำสีนวัตกรรมที่ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม" คุณพงษ์เชิด กล่าวสรุป
16 พฤศจิกายน 2567
ผู้ชม 21 ครั้ง