"กรุงไทย" คงสำรองระดับสูงแตะ184%
"กรุงไทย" คงสำรองระดับสูงแตะ184%
"กรุงไทย" คงสำรองระดับสูงแตะ184%
ไตรมาส 3 ปี 67 กำไร 11,107 ล้านบาท
ธนาคารกรุงไทย เติบโตตามยุทธศาสตร์ ไตรมาส 3 ปี 2567 มีกำไรสุทธิ 11,107 ล้านบาท เน้นบริหารพอร์ตอย่างสมดุล จัดการคุณภาพสินทรัพย์อย่างระมัดระวังและยืดหยุ่น
รักษาระดับเงินสำรองต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage Ratio) รองรับสภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวต่ำและมีความไม่แน่นอนสูง เดินหน้าช่วยเหลือลูกค้าฝ่าวิกฤติน้ำท่วม และขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาหนี้อย่างยั่งยืน
นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยปี 2567 มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง แต่ยังอยู่ในระดับต่ำ และเป็นการขยายตัวที่ไม่ทั่วถึงในรูปแบบ K-shaped Economy
โดยมีการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวเป็นเครื่องยนต์หลัก และได้รับปัจจัยสนับสนุนจากนโยบายภาครัฐ ทั้งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ การเร่งเบิกจ่ายงบประมาณ การลดภาระค่าใช้จ่ายและการเพิ่มรายได้ให้กับภาคครัวเรือน
อย่างไรก็ตามภาคการผลิตและภาคการส่งออกกำลังเผชิญกับความท้าทายจากการพัฒนาผลิตภาพแรงงานเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน เศรษฐกิจโลกที่มีทิศทางชะลอลง
ท่ามกลางปัญหาความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ ความผันผวนของค่าเงินบาท โดยเฉพาะธุรกิจ SME ที่ส่วนใหญ่ยังคงเปราะบางและขาดความยืดหยุ่นในการปรับตัวจึงทำให้ฟื้นตัวได้ช้า
ส่วนภาคครัวเรือนยังได้รับแรงกดดันจากภาระหนี้ที่อยู่ในระดับสูงมีรายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่าย นอกจากนี้เศรษฐกิจไทยยังได้รับผลกระทบจากสภาวะภูมิอากาศแปรปรวนที่ส่งผลให้เกิดปัญหาอุทกภัยที่กระทบในบางพื้นที่
ผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 3/2567 เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 2/2567 ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของธนาคารเท่ากับ 11,107 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อยจากไตรมาสที่ผ่านมา
ธนาคารเน้นการเติบโตอย่างยั่งยืนและมีคุณภาพ ดำเนินธุรกิจอย่างระมัดระวังและรอบคอบ ให้ความสำคัญกับคุณภาพของสินทรัพย์ รักษา Coverage ratio ในระดับสูงที่ร้อยละ 184.1 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 181.3 ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566
ทั้งนี้สินเชื่ออยู่ในระดับใกล้เคียงกับไตรมาสที่ผ่านมา จากการบริหารจัดการ Portfolio รักษาสมดุลด้านความเสี่ยงและผลตอบแทน แม้มีการชำระคืนของสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่
ในขณะที่รายได้จากการดำเนินงานขยายตัวเล็กน้อย ร้อยละ 2.8 บริหารจัดการค่าใช้จ่ายในองค์รวมอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ Cost to Income ratio เท่ากับร้อยละ 42.4 ธนาคารตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในระดับที่เหมาะสมใกล้เคียงกับไตรมาสที่ผ่านมา
รองรับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ รวมถึงความท้าทายจากการขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจที่ขยายตัวอย่างไม่ทั่วถึง ทั้งนี้มีสินเชื่อด้อยคุณภาพอยู่ที่ 98,301 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 1.1 จากสิ้นปี 2566 มี NPLs Ratio เท่ากับร้อยละ 3.14
เมื่อเทียบกับไตรมาส 3/2566 กำไรสุทธิส่วนที่เป็นของธนาคาร เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.0 ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการคุณภาพสินทรัพย์อย่างยืดหยุ่นและระมัดระวัง บริหารจัดการ Portfolio เพื่อรักษาสมดุลและมีคุณภาพ
ส่งผลให้รายได้รวมจากการดำเนินงานขยายตัวร้อยละ 4.3 ธนาคารบริหารจัดการค่าใช้จ่ายในองค์รวมอย่างมีประสิทธิภาพ โดย Cost to Income ratio เท่ากับร้อยละ 42.4 ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ ธนาคารตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในระดับที่เหมาะสม
ผลประกอบการในช่วง 9 เดือนของปี 2567 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของธนาคาร เท่ากับ 33,381 ล้านบาทเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.4 มุ่งเน้นการเติบโตอย่างยั่งยืน บริหารจัดการ Portfolio อย่างสมดุลและมีคุณภาพ
กอปรกับการขยายตัวของรายได้ค่าธรรมเนียมสุทธิและรายได้จากการดำเนินงานอื่นๆ ซึ่งรวมทั้งจากหนี้สูญรับคืน ส่งผลให้รายได้จากการดำเนินงานขยายตัว ร้อยละ 9.9
ธนาคารได้มุ่งเน้นการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายในองค์รวมอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมี Cost to Income ratio เท่ากับร้อยละ 42.5 ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่นๆ ขยายตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ส่วนใหญ่เป็นผลจากบริหารจัดการทรัพย์สินรอการขายอย่างระมัดระวังโดยธนาคารตั้งค่าเผื่อด้อยค่าทรัพย์สินรอการขายตามศักยภาพของทรัพย์สินอย่างเหมาะสม
อีกทั้งธนาคารยังคงให้ความสำคัญกับการขยายการลงทุนเกี่ยวกับเทคโนโลยีและดิจิทัลเพื่อพร้อมรับการเติบโตและการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงและรวดเร็วของเทคโนโลยีและนวัตกรรมในอนาคต
ทั้งนี้ธนาคารและบริษัทย่อยตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในระดับที่เหมาะสมใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาเพื่อรองรับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ
ณ 30 กันยายน 2567 ธนาคาร (งบเฉพาะธนาคาร) มีเงินกองทุนชั้นที่ 1 ร้อยละ 18.95 ของสินทรัพย์ถ่วงน้ำหนักตามความเสี่ยง และมีเงินกองทุนทั้งสิ้น ร้อยละ 20.97 ของสินทรัพย์ถ่วงน้ำหนักตามความเสี่ยง
ซึ่งอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งเมื่อเทียบกับเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รวมถึงมีสภาพคล่องในระดับที่เพียงพอโดยรักษาระดับของ Liquidity Coverage ratio (LCR) อย่างต่อเนื่อง สูงกว่าเกณฑ์ที่ ธปท.กำหนด
ธนาคารกรุงไทย ขับเคลื่อนองค์กรด้วยนวัตกรรม พัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินที่ตอบโจทย์ลูกค้าในทุกมิติ สนับสนุนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ภายใต้แนวคิด “นวัตกรรมสร้างคุณค่า ตอบโจทย์ลูกค้า สู่ความยั่งยืน”
ล่าสุดธนาคารได้สร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับประเทศอีกครั้ง โดย บริษัท กรุงไทย เวนเจอร์ส จำกัด (Krungthai Ventures) บริษัทเงิน ร่วมลงทุนภายใต้ธนาคารกรุงไทย
ได้ร่วมลงทุนใน บริษัทเสิร์ชเอ็นจินอ็อปทิไมเซชั่น จำกัด ผู้ก่อตั้งโกเธอร์ (Gother) แพลตฟอร์มบริการท่องเที่ยวออนไลน์ของไทย เชื่อมต่อ Ecosystem ที่แข็งแกร่งของธนาคาร ทั้งแอปพลิเคชัน Krungthai NEXT และแอปฯ เป๋าตัง พร้อมสนับสนุนผู้ประกอบการสตาร์ทอัพของไทย และ SMEs ให้เติบโตแข็งแกร่ง
อีกทั้งธนาคารยังได้ร่วมกับพันธมิตรในการยื่นขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจธนาคารไร้สาขา (Virtual Bank) นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมการเงิน สนับสนุนการเข้าถึงบริการทางการเงินอย่างมีคุณภาพของคนไทยและธุรกิจไทย ลดความเหลื่อมล้ำ สนับสนุนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน
ทั้งนี้ธนาคารให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือลูกค้าทุกกลุ่มอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางให้สามารถปรับตัวและฟื้นตัวได้อย่างยั่งยืน โดยธนาคารตระหนักถึงสถานการณ์น้ำท่วมเฉียบพลันในหลายพื้นที่ของประเทศส่งผลกระทบต่อประชาชนเป็นวงกว้าง
เร่งบรรเทาความเดือดร้อนในการดำรงชีพและออกมาตรการทางการเงินเพื่อลดภาระทางการเงินให้กับผู้ประสบภัย ครอบคลุมการลดดอกเบี้ย และลดค่างวดชำระหนี้ พร้อมเสริมสภาพคล่องในการดำรงชีพ ตลอดจนการซ่อมแซมทรัพย์สินและที่อยู่อาศัยที่ได้รับความเสียหาย
มุ่งมั่นขับเคลื่อนการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน ซึ่งเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่กระทบต่อการดำรงชีพของลูกค้าประชาชน และเป็นอุปสรรคสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย
จึงเดินหน้าขยายความร่วมมือเพิ่มเติม ภายใต้ “โครงการรวมหนี้ข้าราชการยั่งยืน” โดยมีความร่วมมือกับกระทรวงการคลัง กระทรวงศึกษาธิการ สหกรณ์ออมทรัพย์ตำรวจกำลังพล สหกรณ์ข้าราชการสหกรณ์จำกัด และสหกรณ์ออมทรัพย์ครูขอนแก่น
และอยู่ระหว่างขยายความร่วมมือกับหน่วยงานอื่นๆ เพิ่มเติม เพื่อช่วยเหลือข้าราชการกลุ่มเปราะบาง ลดภาระทางการเงิน เพิ่มสภาพคล่องในการดำรงชีพ
พร้อมส่งเสริมความรู้ สร้างวินัยทางการเงิน ตามแนวทางการแก้หนี้ยั่งยืน และแนวทางการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible Lending) ของธนาคารแห่งประเทศไทย
21 ตุลาคม 2567
ผู้ชม 72 ครั้ง