POLY ปรับกลยุทธ์ รุก!New S-curve กลุ่มMedical
POLY ปรับกลยุทธ์ รุก!New S-curve กลุ่มMedical
POLY ปรับกลยุทธ์ รุก!New S-curve กลุ่มMedical
ลุย!ตลาดโลก ปั้นยอดขาย ดันอัตรากำไรขั้นต้นพุ่ง
"บมจ.โพลีเนต" หรือ POLY เดินหน้าสร้าง New S-curve มุ่งพัฒนานวัตกรรมสินค้ากลุ่มเครื่องมือและอุปกรณ์การแพทย์ที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูง หนุนการเติบโตอย่างโดดเด่น ขณะที่ครึ่งปีแรก 2567 สามารถทำกำไรสุทธิเติบโตสูงถึง 117%
ย้ำ!ครึ่งปีหลังสินค้าทุกกลุ่มมีแนวโน้มเติบโตดี คาดกลุ่มเครื่องมือและอุปกรณ์การแพทย์ทำกำไรเติบโตโดดเด่น เตรียมผลิตสินค้าอุปกรณ์ผ่าตัดทรวงอก (Chest drain for surgery) และกลุ่มชิ้นส่วนอุตสาหกรรมยานยนต์ รับโอกาสผู้ผลิตยานยนต์ย้ายฐานการผลิตมายังไทย
นางกาญจนา เหลารัตนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โพลีเน็ต จำกัด (มหาชน) หรือ POLY เปิดเผยว่า บริษัทเป็นผู้ผลิตสินค้าประเภทยาง พลาสติก และซิลิโคนขึ้นรูปตามความต้องการของลูกค้า ประกอบด้วย 3 กลุ่มธุรกิจหลัก
ได้แก่ 1.กลุ่มชิ้นส่วนอุตสาหกรรมยานยนต์ (Automotive) 2.กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค (Consumer Products) และ 3.กลุ่มเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ (Medical) โดยใช้นวัตกรรมขั้นสูงในการผลิตสินค้า
และมีความสามารถในการผลิตแบบครบวงจร (One-Stop Services) ตั้งแต่การร่วมออกแบบผลิตภัณฑ์ ผลิตแม่พิมพ์ คิดค้นพัฒนาสูตรการผลิตวัตถุดิบ ตลอดจนการขึ้นรูปชิ้นงาน
ทั้งนี้ POLY ได้เล็งเห็นโอกาสการเติบโตของกลุ่มเครื่องมือและอุปกรณ์การแพทย์ในทวีปยุโรปและอเมริกา ที่ประชาชนหันมารักษาตัวแบบ Homecare จึงได้รุกพัฒนานวัตกรรมสินค้าในกลุ่มดังกล่าวมากขึ้นเพื่อให้มีอัตราการเติบโตที่เร่งตัวกว่าปกติควบคู่กับกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค
ทั้งนี้เพราะกลุ่มเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพพทย์ถือว่ามีอัตรากำไรสูงถึง 60% รองลงมาเป็นอัตรากำไรของกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่อยู่ที่ 30% ส่วนกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์มีอัตรากำไรอยู่ที่ 15-20% แม้จะมีสัดส่วนของยอดขายมากที่สุดก็ตาม
ดังนั้นจึงส่งผลให้สัดส่วนรายได้ครึ่งปีแรก 2567 (มกราคม-มิถุนายน) กลุ่มเครื่องมือและอุปกรณ์การแพทย์ซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ดี มีสัดส่วนรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 19% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีสัดส่วน 14%
ขณะที่กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคมีสัดส่วน 20% ลดลงจากปีก่อนที่มีสัดส่วน 24% และกลุ่มชิ้นส่วนอุตสาหกรรมยานต์ยนต์ มีสัดส่วนรายได้อยู่ 61%-62% ใกล้เคียงกับปีก่อน
โดยบริษัทมีรายได้จากการขายรวมทั้งสิ้น 475 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 94 ล้านบาท เติบโต 117% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นเป็น 29.1% จาก 20.7% หรือเพิ่มขึ้น 8.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ควบคู่กับกระบวนการลดต้นทุนส่งผลให้ต้นทุนขายรวมลดลงจาก 44.1% เหลือ 38.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยในปี 2567 นี้ได้ตั้งเป้าหมายการเติบโตของรายได้ที่ 10%
ส่วนในปี 2568 หลังจากที่ได้ปรับกลยุทธ์รุกตลาดกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภครวมทั้งกลุ่มเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ก็จะส่งผลให้อัตรากำไรเพิ่มขึ้นจากเดิมและยอดขายในปีหน้าเติบโตที่ 20-25%
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร POLY กล่าวถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจครึ่งปีหลัง 2567 ว่า มีแนวโน้มเติบโตได้ดีในทุกกลุ่มสินค้า โดยกลุ่มชิ้นส่วนอุตสาหกรรมยานยนต์ แม้ยอดการผลิตรถยนต์ในประเทศไทยลดลงจากประมาณ 920,000 คัน เป็น 760,000 คันต่อปี หรือลดลงประมาณ 17%
อย่างไรก็ตามตลาดรถยนต์ต่างประเทศยังคงมีการเติบโต โดย POLY ได้รับคำสั่งซื้อเพิ่มเติมจากลูกค้าในประเทศสหรัฐอเมริกาอันเนื่องมาจากการย้ายฐานการผลิต ซึ่งปัจจุบันได้เริ่มผลิตแม่พิมพ์แล้ว
และคาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้จากค่าแม่พิมพ์ได้ในไตรมาสที่ 3-4 ของปี 2567 โดยหลังจากผลิตแม่พิมพ์แล้วเสร็จก็จะเริ่มผลิตชิ้นงานอย่างต่อเนื่อง ทำให้แนวโน้มในไตรมาสที่ 3-4 มีการเติบโตจากทั้งรายได้ค่าแม่พิมพ์ และรายได้จากการผลิตชิ้นงาน
ขณะที่ กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค POLY ได้รับคำสั่งซื้อให้ผลิตสินค้าใหม่ที่มีโอกาสเติบโตสูงในอนาคต ซึ่งได้รับออเดอร์เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา นอกจากนี้ยังมีคำสั่งผลิตสินค้าอื่นๆ ที่กำลังจะตามมาอีกในเร็วๆ นี้
ด้านกลุ่มเครื่องมือและอุปกรณ์การแพทย์ เนื่องจากฐานลูกค้าส่วนใหญ่ของ POLY อยู่ในทวีปยุโรปและอเมริกา ซึ่งเป็นประเทศที่มีต้นทุนค่ารักษาพยาบาลค่อนข้างสูง
ทำให้การรักษา Homecare ได้รับความนิยมและยังคงตอบโจทย์กับผู้ใช้งาน โดยในไตรมาส 4 จะเริ่มผลิตสินค้าใหม่ ได้แก่อุปกรณ์สำหรับการผ่าตัดทรวงอก (Chest drain for surgery) เป็นต้น โดยตั้งเป้าจะมีสัดส่วนของยอดขาย 10% จากการขายสินค้ากลุ่มนี้ทั่วโลกกว่า 1 ล้านชิ้นต่อปี
นายศรีชัย เหลารัตนา รองกรรมการผู้จัดการสายงานการตลาด POLY กล่าวว่า ในครึ่งปีหลัง POLY มีแผนขยายฐานลูกค้าใหม่ทุกกลุ่มธุรกิจ โดยกลุ่มชิ้นส่วนอุตสาหกรรมยานยนต์ ยังคงเดินหน้าผลิตชิ้นส่วนที่ใช้นวัตกรรมขั้นสูงให้กับผู้ประกอบการค่ายรถยนต์ที่ย้ายฐานการผลิตมายังประเทศไทย
กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ได้ใช้กลยุทธ์การเติบโตจากลูกค้าปัจจุบันที่เป็นแบรนด์ระดับโลก (Global brand) ซึ่งมีผลิตภัณฑ์หลากหลายและตลาดที่กระจายอยู่ในหลายประเทศ
โดยสร้างความเชื่อมั่นและส่งมอบสินค้าที่มีคุณภาพ ตรงเวลา และราคาที่แข่งขันได้ โดยตั้งเป้าหมายเป็นฐานการผลิตสำคัญ รองรับการขายสินค้าในหลายทวีปทั่วโลก
และ กลุ่มเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ มีแผนการตลาดเพื่อที่จะเพิ่มลูกค้าใหม่ผ่านการออกงาน Exhibition และ Medical fair ในฐานะผู้ผลิตที่มี Innovation และมีมาตรฐานสูง
12 กันยายน 2567
ผู้ชม 53 ครั้ง