สถิติ

66839694

"กรุงไทย" แนะภาคธุรกิจเร่งปรับโมเดลเศรษฐกิจหมุนเวียน  

หมวดหมู่: การเงิน

   "กรุงไทย" แนะภาคธุรกิจเร่งปรับโมเดลเศรษฐกิจหมุนเวียน

   สร้างรายได้ ลดต้นทุน รับเกณฑ์ส่งออก/การเงินระดับสากล

 

   ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS แนะภาคธุรกิจเร่งปรับใช้แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน รับมือความท้าทายจากกฎเกณฑ์ประเทศคู่ค้า สร้างโอกาสใหม่ๆ ในการเพิ่มรายได้ ลดต้นทุน  และตอบโจทย์การลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก

   ชี้ในอีก 6 ปีข้างหน้าเศรษฐกิจหมุนเวียนจะเพิ่มรายได้ทั่วโลกสูงถึง 10 ล้านล้านดอลลาร์ฯ ชู “การเงินเพื่อความยั่งยืนและการเงินเพื่อการเปลี่ยนผ่าน” เป็นฟันเฟืองสำคัญช่วยธุรกิจปรับตัว

   ดร.พชรพจน์ นันทรามาศ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ และ Chief Economist ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular economy) เป็นเมกะเทรนด์โลกที่กำลังมาแรง ในยุคที่ทุกฝ่ายต่างมองหาการเติบโตที่ยั่งยืน

   และสร้างภูมิคุ้มกันจากปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบ และต้นทุนการผลิตที่อยู่ในระดับสูง จากความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจโลกแบ่งขั้ว สะท้อนจากผลสำรวจผู้ประกอบการรายใหญ่ทั่วโลกต่อการยึดมั่นในแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน 

   ผู้ประกอบการไทย จึงควรเร่งปรับตัวสู่เศรษฐกิจหมุนเวียน  เพื่อสร้างโอกาส และรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่มาพร้อมเมกะเทรนด์ดังกล่าว  โดยเฉพาะกฎระเบียบทั่วโลกที่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากขึ้น

   เช่น ยุโรปที่เริ่มบังคับใช้กฎเกณฑ์การเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืนฉบับใหม่ (Corporate Sustainability Reporting Directive หรือ CSRD) ในปีงบการเงิน 2567  ซึ่งเป็นครั้งแรกที่รวมปัจจัยเศรษฐกิจหมุนเวียน และมีผลกระทบกับบริษัทมากถึง 50,000 แห่ง

   ขณะที่ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ยุโรปอาจบังคับใช้มาตรการ Digital Product Passport ที่กำหนดให้ผู้ผลิตต้องเผยแพร่ข้อมูลผลิตภัณฑ์ให้ผู้บริโภคทราบ ซึ่งครอบคลุมด้านเศรษฐกิจหมุนเวียนด้วย เป็นปัจจัยท้าทายต่อผู้ส่งออกของไทย

   “เศรษฐกิจหมุนเวียนจะสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้กับผู้ประกอบการ ทั้งโอกาสในการลดต้นทุน โอกาสในการเพิ่มรายได้ และโอกาสในการลดก๊าซเรือนกระจก โดยงานวิจัยในต่างประเทศ

   ชี้ว่าเศรษฐกิจหมุนเวียนจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนจากการลดวัสดุในการผลิต 28% เพิ่มรายได้ทั่วโลกมากถึง 10 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในปี 2573 และช่วยลดก๊าซเรือนกระจกทั่วโลกได้ถึง 39% ซึ่งประเทศไทยยังมีศักยภาพที่จะพัฒนาด้านเศรษฐกิจหมุนเวียนได้อีกมาก

   สะท้อนจากอัตราการนำของเหลือทิ้งไปใช้ซ้ำหรือรีไซเคิลของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่เฉลี่ยอยู่ที่ 33% โดยธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์ สื่อและสิ่งพิมพ์ ของใช้ส่วนตัวและเวชภัณฑ์ มีอัตราต่ำกว่า 10% เทียบกับยุโรปและเกาหลีใต้ที่สูงถึง 46% และ 60% ตามลำดับ” ดร.พชรพจน์ กล่าวย้ำ

   นายณัฐพร ศรีทอง นักวิเคราะห์ ศูนย์วิจัย  Krungthai COMPASS กล่าวว่า การเงินเพื่อความยั่งยืนและการเงินเพื่อการเปลี่ยนผ่าน (Sustainable and Transition Finance) เป็นฟันเฟืองสำคัญช่วยให้ภาคธุรกิจปรับตัวสู่เศรษฐกิจหมุนเวียนและธุรกิจสีเขียว 

   โดยในปี 2566 ที่ผ่านมา ทั่วโลกมีการออกตราสารหนี้เพื่อความยั่งยืนราว 984,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่ในไทยอยู่ที่เกือบ 180,000 ล้านบาท และคาดว่า ในระยะข้างหน้าจะขยายตัวมากขึ้น

   จากเทรนด์การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net zero emission) เช่น ญี่ปุ่นวางแผนจะออก Transition bond มูลค่า 20 ล้านล้านเยน หรือ 135,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในอีก 10 ปีข้างหน้า

   ขณะที่ในไทยมีปัจจัยสนับสนุนเพิ่มเติมจากการเปิดตัวกองทุน “Thai ESG  รวมถึงภาคธนาคารไทยเตรียมนำเสนอผลิตภัณฑ์ทางเงินที่สนับสนุนภาคธุรกิจเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม (Transition Finance Product) ในช่วงต้นไตรมาส 3 ของปี 2567 นี้

   “ผู้ประกอบการไทยควรเร่งปรับตัวรับความท้าทายจากกฎเกณฑ์ของประเทศคู่ค้า โดยเฉพาะการเตรียมความพร้อมด้านข้อมูล เช่น ข้อมูลการใช้ปัจจัยการผลิตรีไซเคิล และข้อมูลการบริหารจัดการของเหลือทิ้ง ตลอดจนปรับตัวเพื่อแสวงหาโอกาสใหม่ๆ

   รวมถึงพิจารณาระดมทุนผ่าน Sustainable และ Transition Finance ขณะที่ภาครัฐควรมีมาตรการสนับสนุน เช่น มาตรการจูงใจ สนับสนุนองค์ความรู้แก่ภาคธุรกิจ โดยเฉพาะในกลุ่ม SME และมาตรการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคให้สอดคล้องกับเศรษฐกิจหมุนเวียนมากขึ้น” นายณัฐพร กล่าวสรุป

24 เมษายน 2567

ผู้ชม 53 ครั้ง

Engine by shopup.com