สถิติ

66849924

KCG โชว์วิสัยทัศน์ CEO คนใหม่ ชง!ทรานส์ฟอร์มองค์กร-M&A โต  

   KCG โชว์วิสัยทัศน์ CEO คนใหม่ ชง!ทรานส์ฟอร์มองค์กร-M&A โต

   ปี67โต2ดิจิต-ชู"KCG Logistics Park"ลดต้นทุน-เพิ่มกำลังผลิตเท่าตัว

 

   "บมจ.เคซีจี คอร์ปอเรชั่น" หรือ KCG เปิดตัว CEO คนใหม่ ประกาศวิสัยทัศน์ “Transition Towards Sustainable Growth  สร้างองค์กรสู่การเติบโตที่มั่นคง ยั่งยืน และพร้อมสู่อนาคตที่กำลังเปลี่ยนแปลง” กำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาใน 2 มิติ

   ผ่านแผนธุรกิจ 7 แกนหลัก ทรานส์ฟอร์มองค์กรขับเคลื่อนเทคโนโลยี ดึงคนรุ่นใหม่เสริมทัพ ยกระดับนวัตกรรมผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและโซลูชั่นบริการใหม่ และการเติบโตควบคู่การสร้างแบรนด์ผ่านช่องทางออนไลน์หลังเติบโต 100% ต่อเนื่อง 3 ปี

   ชู "KCG Logistics Park" ศูนย์กระจายสินค้าและคลังสินค้าแบบครบวงจรแห่งใหม่และทันสมัยลดต้นทุนค่าใช้จ่ายกว่า 20-30% รับแผนขยายกำลังผลิตเต็มอัตราและขยายขอบเขตธุรกิจใหม่เป็นเท่าตัวจาก 18,000 ตันต่อปี เป็น 23,000 ตันต่อปี หรือเพิ่มขึ้นกว่า 30-40% 

   พร้อมรุกกลยุทธ์ M&A และ JV ภูมิภาคอาเซียน คาดใน 3 ปีสร้างรายได้สัดส่วนกว่า 5% รับแผนปี67 รายได้โต 2 หลัก มาจากต่างประเทศ 400 ล้านบาท และงบลงทุนกว่า 400 ล้านบาท ควบคู่การยึดมั่นดำเนินธุรกิจตามหลัก ESG เพื่อเติบโตอย่างยั่งยืน

   นายดำรงชัย วิภาวัฒนกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้อำนวยการ  บริษัท เคซีจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ KCG เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของปี 2566 สร้างสถิติเติบโตสูงสุดเป็นประวัติการณ์ มีรายได้จากการขาย 7,157 ล้านบาท เติบโต 16.2% จากปีก่อนหน้า และทำกำไรสุทธิ 305.9 ล้านบาท เติบโต 26.9% จากปีก่อนหน้า

   โดยล่าสุดได้วางแผนงานเพื่อสานต่อความสำเร็จก้าวต่อไป ภายใต้วิสัยทัศน์  “Transition Towards Sustainable Growth”สร้างองค์กรสู่การเติบโตที่มั่นคง ยั่งยืน และพร้อมสู่อนาคตที่กำลังเปลี่ยนแปลง

   โดยกำหนดยุทธศาสตร์เพื่อการพัฒนาใน 2 มิติ ได้แก่ 1. ยุทธศาสตร์ด้านวัฒนธรรมองค์กร (Cultural Strategy) โดยยึดหลัก “Heart-driven-Expertise-Agile–Responsible–Teamwork” ด้วยความเชื่อมั่นว่าพนักงานเป็นส่วนสำคัญที่สุดที่จะร่วมขับเคลื่อนองค์กรให้บรรลุสู่เป้าหมายสูงสุด 

   2. ยุทธศาตร์ทางธุรกิจ (Business Strategy) เพื่อบรรลุเป้าหมายสร้างอาณาจักรอาหารตะวันตก เนยและชีส ให้เติบโตมั่นคงและยั่งยืน ภายใต้การขับเคลื่อน 7 แกนหลัก ได้แก่

   1.) มุ่งสร้างการเติบโตทางธุรกิจ (Growth), 2.) การพัฒนาบุคลากร (People), 3.) การขับเคลื่ององค์กรด้วยข้อมูลและเทคโนโลยี (Innovation Data & Tech), 4.) การขยายตลาดส่งออก (Export),

   5.) ยกระดับศูนย์กระจายสินค้าและคลังสินค้าที่ทันสมัยและครบวงจร (Supply Chain & Inventory), 6.) ยกระดับการผลิตโดยใช้ระบบอัตโนมัติ (Production& Automation) และ 7.) การส่งเสริมสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน (Sustainable Development)

                             

   นายดำรงชัย กล่าวต่อไปว่า สำหรับแผนงานในปี 2567 นี้ได้ตั้งเป้าการเติบโตรายได้ 2 หลัก และงบการลงทุนอีกกว่า 400 ล้านบาท ส่วนแผนการลงทุนในต่างประเทศที่ปัจจุบันมีการส่งออกไปกว่า 17 ประเทศ ในภูมิภาคอาเซียน คาดปีนี้มีรายได้ที่ 400 ล้านบาท 

   นอกจากนั้นบริษัทยังมีแผน M&A และ JV เพิ่มเติมในต่างประเทศอีก เพื่อสร้างรายได้ต่างประเทศสัดส่วน 5% ใน 3 ปีข้างหน้า ในขณะที่การทำตลาดช่องทางออนไลน์ก็มีการเติบโต 100% ติดต่อกัน 3 ปี จากฐานลูกค้ากว่า 600,000 ราย 

   ซึ่งบริษัทมีแผนที่จะการสร้างแบรนด์ KCG ให้เป็นที่รู้จักด้วยการนำกลยุทธ์ทางการตลาดระหว่าง Product Brand ควบคู่ Coporat Brand เพื่อสร้างการรับรู้ชื่อบริษัท KCG ให้มากขึ้น จากปัจจุบันที่ผู้บริโภครู้จักแต่ชื่อผลิตภัณฑ์ นม เนย ชีส แครกเกอร์ เวเฟอร์ ของบริษัทเป็นหลัก อาทิ Allowrie,Imperial, Rosy, Sunquick เป็นต้น  

   นายธวัช ธีระนุสรณ์กิจ รองกรรมการผู้อำนวยการอาวุโส KCG กล่าวถึงเทรนด์อุตสาหกรรมอาหารว่า สถานการณ์การแพร่ระบาด Covid-19 ที่ผ่านมา ได้สร้างอุบัติการณ์ใหม่ทางด้านโภชนาการอาหารทั่วโลก โดยพฤติกรรมของผู้บริโภคให้ความสำคัญกับการบริโภคอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ

   ซึ่งสร้าง 5 เมกะเทรนด์ในปี 2567 ได้แก่ 1. Health Beliefs เทรนด์อาหารเพื่อสุขภาพและสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย 2. Naturally Functional เทรนด์อาหารที่มีการพัฒนาสารเสริมเชิงหน้าที่จากธรรมชาติหรือมีการเติมวิตามินเพื่อเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการ

   3. Weight Wellness เทรนด์อาหารสำหรับการดูแลรูปร่าง 4. Snackification เทรนด์นวัตกรรมอาหารว่างที่ทำให้สะดวกทานง่ายทุกที่และทุกเวลา และ 5. Sustainability เทรนด์ผลิตภัณฑ์เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับโลก    

   สำหรับแนวทางการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ในปี 2567-2572 บริษัทวางกรอบการพัฒนานวัตกรรมเพื่อสุขภาพและบริการใหม่ตามเทรนด์ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นทั้งในประเทศไทยและระดับโลก

   เพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ โดยพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สามารถเจาะลึกถึงต้องการของผู้บริโภคกลุ่มที่มีไลฟ์สไตล์แตกต่างกัน รวมถึงการต่อยอดสินค้ากลุ่มผลิตภัณฑ์ทั้งที่ทำจากนม (Dairy Products)

   และผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่ไม่ได้ทำจากนม (Non-dairy) พร้อมทั้งร่วมมือกับสถาบันการศึกษาและพันธมิตรบริษัทชั้นนำจากทั่วโลก เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของตลาดอย่างเหมาะสม  

 

   นายดนัย คาลัสซี รองกรรมการผู้อำนวยการอาวุโส KCG กล่าวว่า หลังจากเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ บริษัทได้ลงทุนสร้าง "KCG Logistics Park" หรือศูนย์กระจายสินค้าและคลังสินค้าแบบครบวงจร บนพื้นที่ 15 ไร่

   โดยนำเทคโนโลยีมาจัดเก็บผลิตภัณฑ์ของ KCG ซึ่งครอบคลุมทั้ง 3 อุณหภูมิ ทั้งระบบแช่แข็ง (Frozen) ระบบแช่เย็น (Chill) และแบบอุณหภูมิห้อง (Ambient) มาใช้ ทำให้สินค้ากลุ่มผลิตภัณฑ์เนยและชีสมีความสดใหม่

   และนำเทคโนโลยีระบบ VMI (Vendor Managed Inventory) มาใช้เพื่อควบคุมระดับสต็อกและการส่งสินค้าให้ทันเวลาตามความต้องการของลูกค้า ซึ่งช่วยให้สามารถบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

   โดยเฟสแรกคาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนเมษายน 2567 นี้ และคาดว่าจะแล้วเสร็จทั้งโครงการภายในไตรมาสที่ 2 ปี 2567 ซึ่งเร็วกว่าแผนเดิมที่วางไว้ ทำให้สามารถลดต้นทุนค่าใช้จ่ายกว่า 20-30%

   นอกจากนี้ในด้านการผลิตได้มีการขยายกำลังผลิตกลุ่มผลิตภัณฑ์ชีสในรูปแบบห่อเดี่ยว (Individually Wrapped Processed Cheese Slices หรือ IWS) เพิ่มขึ้นจากเดิม 2,106 ตันต่อปี เป็น 4,212 ตันต่อปี ไปเรียบร้อยแล้วในเดือนตุลาคมปี 2566 และอยู่ระหว่างการขยายกำลังการผลิตเนยจากเดิม 18,000 ตันต่อปี เป็น 23,000 ตันต่อปี หรือเพิ่มขึ้น 30-40% ซึ่งจะแล้วเสร็จในปี 2568

   ในขณะเดียวกันบริษัทพร้อมเดินหน้าปรับระบบการขนส่งสินค้าด้วยการเพิ่มสัดส่วนการใช้รถไฟฟ้าพลังงานสะอาด (EV Truck) โดยวางเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนเป็น 30% ของจำนวนรถขนส่งทั้งหมด เพื่อสร้างระบบนิเวศที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในห่วงโซ่คุณค่าอย่างยั่งยืน  

24 มีนาคม 2567

ผู้ชม 263 ครั้ง

Engine by shopup.com