TCCลุยธุรกิจใหม่ "บริหารสินทรัพย์-อสังหาฯ"สร้าง New S-Curve
TCCลุยธุรกิจใหม่ "บริหารสินทรัพย์-อสังหาฯ"สร้าง New S-Curve
TCCลุยธุรกิจใหม่ "บริหารสินทรัพย์-อสังหาฯ"สร้าง New S-Curve
ไฟเขียวจ่ายคืนหุ้นกู้ 200 ลบ. ออกหุ้นกู้ชุดใหม่อัตราดอกเบี้ยจุงใจ
บมจ. ไทย แคปปิตอล คอร์ปอเรชั่น (TCC) ประกาศวิสัยทัศน์ปี 67 ลุยต่อยอดธุรกิจใหม่ สร้าง New S-Curve เน้นสร้างฐานกำไรให้เติบโตมั่นคงและมีเสถียรภาพ
ด้านสองแม่ทัพ “กิตติศักดิ์ ชัยวิกรัย” “บุญอนันต์ ศรีขาว” ประกาศเปิดฉากธุรกิจบริหารสินทรัพย์ เข้าซื้อหนี้ NPL มาบริหารและต่อยอดเข้าสู่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
เตรียมร่วมทุน JV กับบริษัทในกลุ่มบริทาเนีย มองโอกาสการเติบโตทั้งแบบ Organic Growth และ Inorganic Growth ขณะที่ ธุรกิจหลักด้านพลังงานแปรรูปและค้าปลีกถ่านหินที่มีคุณภาพ ยังคงเดินหน้ารับดีมานด์ที่มีเข้ามาต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตามด้านผู้บริหาร ย้ำ TCC ฐานทุนแข็งแกร่งสุดๆ เตรียมควักกระเป๋า 200 ลบ. จ่ายคืนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 67 นี้ พร้อมกับ ประกาศออกหุ้นกู้ชุดใหม่ ครั้งที่ 1/2567 ชูอัตราดอกเบี้ย 7.25% เพื่อสนับสนุนการขยายธุรกิจใหม่ตามเจตนารมณ์ที่วางไว้
นายกิตติศักดิ์ ชัยวิกรัย รองประธานกรรมการ และกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท ไทย แคปปิตอล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TCC ผู้ประกอบธุรกิจด้านการลงทุนและการถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) โดยมุ่งเน้นการลงทุนในกิจการที่มีศักยภาพในการเติบโต สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มในอนาคตให้แก่กลุ่มบริษัทในระยะยาว เปิดเผยว่า
ปัจจุบัน TCC ลงทุนในธุรกิจหลัก 3 ธุรกิจ ได้แก่ ธุรกิจพลังงาน ในฐานะหนึ่งในบริษัทชั้นนำของประเทศในการประกอบธุรกิจการแปรรูปและค้าปลีกถ่านหินที่มีคุณภาพ
รวมทั้งต่อยอดมายังธุรกิจบริหารสินทรัพย์ ภายใต้บริษัทย่อย บริหารสินทรัพย์ ทีซีซี จำกัด และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ภายใต้ บริษัท ชัย แอสเซท จำกัด
โดย TCC ประกาศแผนปี 2567 เดินหน้าต่อยอดธุรกิจใหม่เต็มกำลัง รับสถานการณ์เศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัว โดยธุรกิจบริหารสินทรัพย์ ซึ่งเพิ่งดำเนินธุรกิจเต็มตัวในช่วงครึ่งปีหลังของปีที่ผ่านมา ได้เริ่มเดินหน้าซื้อสินทรัพย์เข้ามาบริหารเรียบร้อยแล้ว
โดยเป็นประเภทหนี้สินที่มีหลักประกัน โดยมียอดเงินลงทุนซื้อหนี้ในปัจจุบันอยู่ที่ 128.4 ล้านบาท และอยู่ระหว่างเดินหน้าซื้อสินทรัพย์เข้ามาบริหารอย่างต่อเนื่อง
เพื่อเดินหน้าสร้างโอกาสการเติบโต เพิ่มกระแสเงินสดเข้ามาต่อเนื่อง และมองว่าจะเป็นธุรกิจที่ช่วยเพิ่มความสามารถในการทำกำไรให้ TCC ในอนาคต
ขณะที่ TCC เล็งเห็นโอกาสการต่อยอดไปยังธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากบริษัทมีที่ดินซึ่งมีเนื้อที่รวมประมาณ 106 ไร่ พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งเดิมจะนำมาใช้ดำเนินธุรกิจตลาดค้าส่งสินค้าเกษตรแนวใหม่
ในฐานะศูนย์กลางการค้าส่งผลิตผลทางการเกษตรและผลิตผลทางการเกษตรแปรรูปแบบครบวงจร แต่สืบเนื่องมาจากผลกระทบของสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อ COVID-19
บริษัทได้มีโอกาสทบทวนแผนการพัฒนาโครงการตลาดฯ และเห็นควรให้ชะลอการพัฒนาโครงการตลาดฯ และพิจารณาการเข้าลงทุนในธุรกิจอื่นๆ ซึ่งคาดว่าจะสร้างผลตอบแทนที่ดีได้เพิ่มเติม โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของบริษัทและผู้ถือหุ้นเป็นสำคัญ ทั้งนี้จากการพิจารณาโอกาสทางธุรกิจที่ได้รับข้อเสนอมา
ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทและที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นของบริษัท ได้มีมติอนุมัติการจำหน่ายที่ดินบางส่วนของ บริษัท ชัย แอสเซท จำกัด บริษัทย่อย ให้แก่บริษัทร่วมทุน (JV) สองบริษัท
ซึ่งจัดตั้งโดย บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) (BRI) ผู้ประกอบธุรกิจที่มีประสบการณ์การพัฒนาและบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัยแนวราบ เพื่อพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ประเภทหมู่บ้านจัดสรร
และบริษัท ชัย แอสเซท จำกัด ได้วางแผนนำเงินบางส่วนจากการจำหน่ายที่ดิน เข้าร่วมลงทุนโดยการซื้อหุ้นสามัญและเพิ่มทุนใน JV ดังกล่าว รวมเป็นเงินประมาณ 140 ล้านบาท
ทั้งนี้มูลค่าโครงการของ ทั้งสอง JV อยู่ที่ประมาณ 2,400 ล้านบาท โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างกระบวนการจัดหาสินเชื่อโดย BRI ซึ่ง TCC มองโอกาสครั้งนี้ว่าจะเป็นการปูทางเข้าสู่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของ TCC
และจะเป็นการสร้างฐานกำไรที่ดี นอกจากนี้ยังเป็นการสนับสนุนกลยุทธ์การเติบโตแบบ Inorganic Growth ผ่านการร่วมลงทุน (JV) ตามแผนงานที่วางไว้
“หลังจาก TCC ได้ทรานสฟอร์มองค์กรสู่การเป็นบริษัทโฮลดิ้งคอมพานีในปี 2559 และได้วางแผนรุกธุรกิจใหม่ ต่อยอดการเติบโตและสร้างความมั่นคงของผลการดำเนินงาน โดยเฉพาะกำไรที่มั่นคงและมีเสถียรภาพ
ซึ่งวันนี้มองว่า เป็นเวลาที่เหมาะสมที่ TCC จะเปิดเกมบุกธุรกิจใหม่เพิ่มเติมแบบเต็มกำลัง เพื่อเข้ามาสนับสนุนการเติบโต ทั้งธุรกิจบริหารสินทรัพย์ และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่เราจับมือไปกับพันธมิตร
สำหรับธุรกิจถ่านหิน มุ่งเน้นทำการตลาด และขยายฐานลูกค้าใหม่ทั้งในประเทศและกลุ่ม CLMV โดยกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของบริษัท ได้แก่ กลุ่มโรงไฟฟ้า, โรงงานอุตสาหกรรมกระดาษ, อุตสาหกรรมอาหาร และ กลุ่มอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ ก็มองว่ายังเป็นธุรกิจที่เติบโตไปพร้อมกับดีมานด์ถ่านหินทั้งในและต่างประเทศ
นอกจากนี้บริษัทจะขยับขยายการลงทุนเพิ่มเติมในพลังงานทางเลือกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เพื่อแสดงถึงความมุ่งมั่นของบริษัทในการทำธุรกิจควบคู่กับการรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม” นายกิตติศักดิ์ กล่าวย้ำ
ด้าน นายบุญอนันต์ ศรีขาว กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทย แคปปิตอล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TCC กล่าวเพิ่มเติมว่า ในด้านฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง TCC ให้ความสำคัญกับการดำเนินงานและบริหารจัดการทางการเงินเพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุน
รวมทั้งการจัดสรรเงินทุนเพื่อรองรับการขยายธุรกิจ และการเตรียมความพร้อมเพื่อชำระหุ้นกู้ตามกำหนด โดยไตรมาสแรกของปี 2567 บริษัทมีหุ้นกู้ครบกำหนดจำนวน 1 ชุด มูลค่า 200 ล้านบาท
เป็นหุ้นกู้ที่ครบกำหนดชำระในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2567 นี้ ซึ่งบริษัทได้จัดเตรียมเงินสดไว้เรียบร้อยแล้ว โดยจะเป็นการชำระคืนก่อนออกขายหุ้นกู้รอบใหม่ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพการเงินของบริษัท
ล่าสุดบริษัทมีกำหนดการออกหุ้นกู้ของบริษัท ครั้งที่ 1/2567 ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ. 2568 อายุ 1 ปี 6 เดือน อัตราดอกเบี้ยคาดว่าอยู่ในช่วง 7.25% ต่อปี ชำระดอกเบี้ยทุกๆ 3 เดือน ตลอดอายุของหุ้นกู้ เสนอขายต่อผู้ลงทุนสถาบัน และ/หรือ ผู้ลงทุนรายใหญ่ ระหว่างวันที่ 27-29 กุมภาพันธ์ 2567
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในธุรกิจของบริษัท โดยมีผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ ได้แก่ บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด
และ บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ คือ บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด และนายทะเบียนหุ้นกู้ คือ ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย
ทั้งนี้บริษัทอยู่ระหว่างการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวนซึ่งยังไม่มีผลบังคับใช้ เนื่องจากอยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงาน ก.ล.ต. สำหรับนักลงทุนที่สนใจจองซื้อหุ้นกู้บริษัท ไทย แคปปิตอล คอร์ปอเรชั่นจำกัด (มหาชน) หรือ TCC
สามารถจองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท และทวีคูณครั้งละ 100,000 บาท และสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.sec.or.th หรือติดต่อผ่านสถาบันการเงินซึ่งเป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ ดังนี้
- บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด โทร. 02-846-8675
- บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) โทร 02-351-1800
24 กุมภาพันธ์ 2567
ผู้ชม 156 ครั้ง