รัฐบาลเริ่มต้นโอนเงินไร่ละพัน
รัฐบาลเริ่มต้นโอนเงินไร่ละพัน
รัฐบาลเริ่มต้นโอนเงินไร่ละพัน
ผ่านระบบ ธ.ก.ส. วงเงิน54,000ลบ.
รัฐบาลเริ่มโอนเงินตามโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2566/67 ไปยังชาวนาทั่วประเทศกว่า 4.68 ล้านครัวเรือน วงเงินกว่า 54,000 ล้านบาท ในอัตราไร่ละ 1,000 บาท สูงสุดไม่เกิน 20 ไร่
โดยแบ่งการโอนเงินเป็น 5 รอบ ประเดิมงวดแรกโอนเข้าบัญชีเกษตรกรในพื้นที่ทั่วประเทศ วงเงินรวม 7,989 ล้านบาท มีเกษตรกรได้รับประโยชน์กว่า 620,000 ครัวเรือน
พร้อมหนุนมาตรการคู่ขนานในการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือกและเสริมสภาพคล่องชาวนา ผ่านสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2566/67 และสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ปีการผลิต 2566/67
นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานในกิจกรรมส่งมอบเงินตามโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2566/67 ในอัตราไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกินครัวเรือนละ 20 ไร่ เป็นวันแรก
เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวให้มีรายได้และสภาพคล่องในการใช้จ่าย รวมถึงการพัฒนาคุณภาพผลผลิตข้าวให้สามารถขายได้ในราคาที่สูงขึ้น โดยวางแผนการโอนเงินส่งถึงมือเกษตรกร เป็นรายภูมิภาค แบ่งเป็น 5 ครั้ง
เป้าหมายเกษตรกรที่ได้รับประโยชน์ จำนวน 4.68 ล้านครัวเรือน วงเงินรวม 54,336 ล้านบาท โดยมีร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และนายฉัตรชัย ศิริไล ผู้จัดการ ธ.ก.ส. เข้าร่วมกิจกรรม
นายฉัตรชัย ศิริไล ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวและภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้น ส่งผลกระทบให้ผลผลิตทางการเกษตรราคาตกต่ำ และทำให้เกษตรกรมีรายได้ลดลง
นายเศรษฐา ทวีสิน ในฐานะนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จึงได้มอบนโยบายให้ส่วนงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2566
และมติคณะกรรมการ ธ.ก.ส. โดยนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ ในฐานะรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังและประธานกรรมการ ธ.ก.ส. เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2566 ได้เห็นชอบให้ ธ.ก.ส. ขับเคลื่อนภารกิจตามนโยบายรัฐบาล
ผ่านโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2566/67 วงเงิน 54,336 ล้านบาท ให้กับเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนผู้ปลูกข้าวกับกรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปีการผลิต 2566/67
พร้อมจัดทำแผนการโอนเงินส่งถึงมือเกษตรกร เป็นรายภูมิภาค แบ่งเป็น 5 ครั้ง เริ่มตั้งแต่ 28 พฤศจิกายน 2566 นี้เป็นต้นไป โดยมีรายละเอียดการโอนเงินดังนี้ ครั้งที่ 1 วันที่ 28 พ.ย. 2566 วงเงิน 7,989 ล้านบาท รวม 620,000 ครัวเรือน ในพื้นที่ทั่วประเทศ จำนวน 77 จังหวัด
ครั้งที่ 2 วันที่ 29 พ.ย. 2566 วงเงิน 8,408 ล้านบาท รวม 740,000 ครัวเรือน ในพื้นที่ภาคเหนือ จำนวน 17 จังหวัด ครั้งที่ 3 วันที่ 30 พ.ย. 2566 วงเงิน 9,480 ล้านบาท รวม 870,000 ครัวเรือน ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 10 จังหวัด
ครั้งที่ 4 วันที่ 1 ธ.ค. 2566 วงเงิน 9,277 ล้านบาท รวม 770,000 ครัวเรือน ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 5 จังหวัด และครั้งที่ 5 วันที่ 2 ธ.ค. 2566 วงเงิน 9,282 ล้านบาท รวม 820,000 ครัวเรือน ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 5 จังหวัด
ทั้งนี้เกษตรกรสามารถตรวจสอบผลการโอนเงินได้ทางแอปพลิเคชัน BAAC Mobile ตลอด 24 ชั่วโมง จะมีข้อความแจ้งเตือนเงินเข้าบัญชีผ่านบริการ BAAC Connect ทาง Line: BAAC Family และ https://chongkho.inbaac.com อีกด้วย
นอกจากนี้ในการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าว รัฐบาลได้มอบนโยบายในการจัดทำมาตรการคู่ขนาน เพื่อดูแลและรักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือกแบบครบวงจร ได้แก่
1) สินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2566/67 วงเงินรวม 34,000 ล้านบาท เพื่อเสริมสภาพคล่องในการใช้จ่ายให้เกษตรกรมีเงินทุนหมุนเวียนระหว่างชะลอการขายข้าว
โดยไม่ต้องเร่งขายข้าวเปลือกในช่วงที่ผลผลิตออกสู่ตลาดจำนวนมากและราคาตกต่ำ โดยรัฐบาลรับภาระในการชำระดอกเบี้ยแทนเกษตรกร และ ธ.ก.ส. ยังพร้อมสนับสนุนค่าฝากเก็บและรักษาคุณภาพข้าวเปลือกให้เกษตรกรอีก 1,500 บาทต่อตัน
กรณีเกษตรกรเก็บข้าวเอง ได้รับ 1,500 บาทต่อตัน กรณีเกษตรกรฝากข้าวกับสถาบันเกษตรกร เกษตรกรจะได้รับ 500 บาทต่อตัน และสถาบันฯ จะได้รับ 1,000 บาทต่อตัน
สำหรับเกษตรกรที่เข้าร่วมมาตรการพักชำระหนี้ลูกค้ารายย่อย สามารถแจ้งความประสงค์เข้าร่วมสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปีได้ (เงื่อนไขเป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด)
และ 2) สินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ปีการผลิต 2566/67 วงเงินรวม 10,000 ล้านบาท โดยสหกรณ์การเกษตร ชุมนุมสหกรณ์การเกษตร กลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน และศูนย์ข้าวชุมชนที่ประกอบธุรกิจรวบรวมข้าวจากเกษตรกรสมาชิก และเกษตรกรทั่วไป
โดยสถาบันฯ ชำระดอกเบี้ยเพียง ร้อยละ 1 ต่อปี ส่วนที่เหลือรัฐบาลรับภาระชำระแทน สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศหรือ Call Center 02 555 0555
30 พฤศจิกายน 2566
ผู้ชม 87 ครั้ง