"คิงส์เมนส์ (K)" ส่งซิกเทิร์นอะราวด์
"คิงส์เมนส์ (K)" ส่งซิกเทิร์นอะราวด์
"คิงส์เมนส์ (K)" ส่งซิกเทิร์นอะราวด์
รุก!อีเว้นท์ Pop-Up Store กลุ่มลักซ์ชัวรี่
บมจ.คิงส์เมนส์ ซี.เอ็ม.ที.ไอ “K” ส่งซิกผลงานปีหน้าพลิกเทิร์นอะราวด์ หลังปรับโครงสร้างธุรกิจ ลุยรับงานอีเว้นท์ประเภท Pop-Up Store ในกลุ่มลักซ์ชัวรี่มากขึ้น เหตุมาร์จิ้นดีกว่างานตกแต่งภายใน-ตลาดขยายตัวต่อเนื่อง
ขณะที่ภาพรวมงานออกแบบและตกแต่งในช่วงครึ่งปีหลังสดใส ตามเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว พร้อมตั้งเป้าหมายรายได้ปีนี้ที่ 700-800 ล้านบาท
ล่าสุดตุน Backlog ในมือมูลค่ารวมกว่า 292.7 ล้านบาท จะทยอยรับรู้ต่อเนื่อง จับตา!หลังผู้ถือหุ้นใช้สิทธิแปลงสภาพK-W1ครั้งสุดท้าย เมื่อ 10 ต.ค. 65 ที่ผ่านมา
นายวงศกร พิเศษสิทธิ์ ผู้จัดการด้านสื่อสารองค์กรและนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท คิงส์เมนส์ ซี.เอ็ม.ที.ไอ จำกัด (มหาชน) “K” ผู้ประกอบธุรกิจออกแบบและตกแต่งงานอย่างครบวงจร 4 ประเภท ดังนี้
1.ธุรกิจงานตกแต่งภายใน (Interiors), 2.ธุรกิจงานแสดงสินค้าและนิทรรศการ (Exhibitions), 3.ธุรกิจการตลาดทางเลือก (Alternative Marketing) และ 4.ธุรกิจงานพิพิธภัณฑ์และสวนสนุกแนวคิด (Museums & Thematic Park) เปิดเผยว่า
ทิศทางการดำเนินงานงานตั้งแต่ในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 ฟื้นตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 คลี่คลาย
ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรฐกิจกลับสู่ภาวะปกติ บริษัทในฐานะผู้ประกอบการด้านการออกแบบและตกแต่งภายในงาน Exhibition (เอ็กซิบิชั่น) จึงฟื้นในทิศทางที่ดีขึ้น
ทั้งนี้ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทได้มีการปรับโครงสร้างธุรกิจใหม่ โดยเน้นรับงาน Interiors ในขนาดโครงการที่เล็กลง และจับกลุ่มลูกค้าที่เป็นระดับลักซ์ชัวรี่ (Luxury) มากขึ้น
อย่างงานประเภท Pop-Up Store (งานออกร้านต่างๆ ที่จะจัดในช่วงเวลาสั้นๆ เป็นพื้นที่ให้แบรนด์นำเสนอความโดดเด่นในแบบของตัวเอง) เนื่องจากเป็นกลุ่มลูกค้าระดับลักซ์ชัวรี่ที่ต้องใช้ทักษะการบริหารจัดการสูง
และเชื่อว่าหลังจากนี้ลูกค้าในกลุ่มดังกล่าวจะมีการขยายตัวมากขึ้น ตามการขยายตัวของเมือง ซึ่งในอนาคตหากประชากรเพิ่มขึ้น การขยายตัวของเมืองก็จะเพิ่มขึ้นตามลำดับ
ทั้งที่อยู่อาศัยและสำนักงาน ซึ่งสอดคล้องกับภาพรวมเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง หลังสถานกรณ์ของโควิด-19 คลี่คลาย อย่างไรก็ตาม การปรับขนาดของโครงการที่รับงาน ทำให้บริษัทฯส่งมอบงานและรับรู้รายได้เร็วขึ้น
“พื้นฐานของธุรกิจเราเริ่มต้นจากการรับงาน Exhibitions ต่อมาเราเห็นโอกาสในการขยายไปรับงานในกลุ่ม Event เพิ่มขึ้น ซึ่งงานทั้ง 2 กลุ่มดังกล่าว บริษัทฯมองว่าเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำสม่ำเสมอ (Recurring Income) เพราะมีงานประจำทุกๆ ปี
แต่ในช่วง 2 ปีก่อน ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้รายได้จากกลุ่มงานดังกล่าวลดลง ดังนั้น บริษัทฯจึงได้ปรับนโยบายให้สอดรับกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปในปัจจุบัน
โดยการมารับงานประเภท Pop-Up Store ที่จัดบนพื้นที่ขนาดเล็กลง และจัดในระยะสั้นๆ ซึ่งงานประเภทดังกล่าวปัจจุบันมีออกมาจำนวนมาก และเป็นงานที่รับรู้รายได้เร็ว
โดยบริษัทเชื่อมั่นว่า ภาพรวมตลาดจะยังคงฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องไปถึงปี 2566 ทำให้บริษัทคาดการณ์ผลการดำเนินงานในปี 2566 ว่า จะสามารถพลิกเทิร์นอะราวด์ (Turnaround) ได้ โดยจะเห็นการเทิร์นอะราวด์ตั้งแต่ช่วงไตรมาส 1/2566 เป็นต้นไป
ทั้งนี้โดยปกติในช่วงไตรมาส 1 และไตรมาส 4 ของทุกปี จะเป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจ โดยในช่วงไตรมาส 1 จะมีงาน MOTOR SHOW และในช่วงไตรมาส 4 จะมีงาน Motor Expo ซึ่งบริษัทฯ มีลูกค้าประจำอยู่พอสมควร
ทั้งนี้ล่าสุดบริษัทมีงานในมือ (Backlog) รวมมูลค่ากว่า 292.7 ล้านบาท เป็น Backlog ของกลุ่มงาน Exhibitions และงาน Event จำนวน 242.4 ล้านบาท จะทยอยรับรู้เป็นรายได้ในช่วงไตรมาส 3-4/2565
ส่วนที่เหลืออีก 50.3 ล้านบาทเป็น Backlog จากกลุ่มงาน Interiors ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ตั้งแต่ไตรมาส 1-2/2566อย่างไรก็ตาม สำหรับปี 2565 บริษัทได้วางเป้าหมายรายได้รวมไว้ที่ 700-800 ล้านบาท ซึ่งอาจจะทรงตัว หรือเติบโตขึ้นเล็กน้อยจากปีก่อนที่มีรายได้รวม 786 ล้านบาท
เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาบริษัทได้มีการปรับโครงสร้างในส่วนของงาน Interior ให้สอดรับกับภาวะตลาดในปัจจุบัน ดังนั้นในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ จึงยังคงต้องติดตามการเข้ารับงานของกลุ่มดังกล่าวอีกครั้ง
ขณะที่ในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 บริษัทมีรายได้รวมแล้วที่ 432.70 ล้านบาท โดยสัดส่วนรายได้ในปีนี้จะมาจากกลุ่มงาน Exhibition (เอ็กซิบิชั่น) และงาน Event (อีเว้นท์) ประมาณ 500-600 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะมาจากกลุ่มงานอินทีเรีย (Interior)
การกลับมาของ “คิงส์เมนส์” ในครั้งนี้ เป็นการฟื้นตัวที่ชัดเจนและต่อเนื่อง ซึ่งบริษัทมีความมั่นใจมากด้วยเช่นกันว่าผลการดำเนินงานของ “คิงส์เมนส์” ในปี2566 จะกลับมาเทิร์นอะราวด์ได้ ด้วยสภาพคล่องที่มีอยู่ ซึ่งดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
หลังจากในปีก่อนบริษัทได้ใช้เครื่องมือทางการเงิน ด้วยการออกใบสำคัญแสดงสิทธิในการจองซื้อหุ้นสามัญ ครั้งที่ 1 (K-W1) ซึ่งครบกำหนดใช้สิทธิแปลงสภาพซื้อหุ้นสามัญ
ในวันใช้สิทธิครั้งสุดท้าย 10 ตุลาคม 2565 ที่ผ่านมา โดยครอบครัวพิเศษสิทธิ์ ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ได้ใช้สิทธิแปลงสภาพเต็มจำนวนใบสำคัญแสดงสิทธิ์ที่ถืออยู่ มูลค่ากว่า 52 ล้านบาท
และคาดว่าจะส่งผลให้บริษัทมีเม็ดเงินดังกล่าวเข้ามาประมาณกว่า 95 ล้านบาท ซึ่งเม็ดเงินดังกล่าวบริษัทจะใช้นำไปเป็นเงินทุนหมุนเวียนภายในบริษัทฯ เพื่อเพิ่มศักยภาพในการการเติบโตตามเป้าหมายในอนาคต
12 ตุลาคม 2565
ผู้ชม 488 ครั้ง