"ไอ-เทล"สบช่อง!ระดมทุนรุกอาหารสัตว์เลี้ยงรุ่ง
"ไอ-เทล"สบช่อง!ระดมทุนรุกอาหารสัตว์เลี้ยงรุ่ง
"ไอ-เทล"สบช่อง!ระดมทุนรุกอาหารสัตว์เลี้ยงรุ่ง
ชี้!โต15%สวนโควิด-ปักหมุดOEMแบรนด์ระดับโลก
"ไอ-เทล" พร้อมต่อยอดศักยภาพ 1 ใน 10 ผู้นำด้านผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์เลี้ยงรายใหญ่ของโลก ชูจุดเด่นนวัตกรรมสินค้าระดับพรีเมี่ยมกว่า 4,600 รายการ และฐานลูกค้าแบรนด์ใหญ่ระดับโลกพร้อมแพลตฟอร์มผลิตสินค้าครบวงจร ดันยอดขายเติบโตต่อเนื่องเฉลี่ย 15% ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา
นายพิชิตชัย วงศ์ปิยะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงโลกในปี 2564 มียอดขายปลีกประมาณ 131,000 ถึง 135,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องโดยคาดการณ์ว่าจะมีอัตราการเติบโตต่อปี (CAGR) ที่ 7.1% ในอีก 5 ปีข้างหน้า
โดยเฉพาะตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงสำหรับแมวและสุนัขในประเทศจีน ที่คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ที่ 19.8% ในปี 2564-2569 ซึ่งเป็นตลาดที่ ไอ-เทล เล็งเห็นช่องว่างในการเติบโตได้มากขึ้น พิจารณาจากรายได้รวมของ ไอ-เทล ที่ได้จากจีนอยู่เพียง 3% ในปัจจุบัน
นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์หลักของ ไอ-เทล ยังสอดคล้องกับกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีโอกาสเติบโตสูงในช่วง 5 ปีข้างหน้า (2564-2569) ทั้งอาหารแมวที่คาดการณ์อัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ที่ 8.2%
และอาหารสัตว์เลี้ยงแบบเปียกสำหรับแมวและสุนัขที่คาดกาณ์ว่าจะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ที่ 10.7% ในขณะที่ประเทศไทยอาหารสัตว์เลี้ยงมีมูลค่ารวมที่ 40,000 ล้านบาท โดยเป็นอาหารแมวและสุนัชสัดส่วนใกล้เคียงกัน 50:50
ในส่วนของผลประกอบการ บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) มียอดขายที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี โดยในปี 2562 บริษัทมียอดขาย 10,955 ล้านบาท ในปี 2563 มียอดขาย 12,224 ล้านบาท
และในปี 2564 มียอดขาย 14,529 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ที่ 15% และคาดว่าในปี 2565 จะเติบโตใกล้เคียงกับช่วงที่ผ่านมาโดยไม่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 แต่อย่างใด
ในขณะที่ตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงทั่วโลกมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ในระหว่างปี 2559-2564 อยู่ที่ประมาณ 5.5-5.8% สัดส่วนรายได้จากการขายของ ไอ-เทล ในปี 2564
แบ่งเป็นสัดส่วนจากอเมริกา 44.9% ยุโรป 19.4% ญี่ปุ่น 14.5% และจีน 3.2% โดยสัดส่วนกว่า 99% เป็นการรับจ้างผลิตหรือ OEM ให้กับแบรนด์ระดับโลกส่งออกกว่า 45 ประเทศและ 1% เป็นการขายในไทย
“ไอ-เทล มุ่งมั่นที่จะสร้างความยั่งยืนและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นให้กับทั้งสัตว์เลี้ยง ครอบครัว และโลกใบนี้ของพวกเราทุกคนเช่นกัน ผ่านการขับเคลื่อนโครงการ ที่ส่งเสริมสิ่งแวดล้อม สังคม และการบริหารบนหลักธรรมาภิบาล
นอกจากนี้ยังยึดมั่นในกลยุทธ์ SeaChange® ซึ่งเป็นกลยุทธ์ของเครือไทยยูเนี่ยนที่มีเป้าหมายในการสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้กับท้องทะเล โดยใช้แหล่งวัตถุดิบที่เชื่อถือและติดตามแหล่งที่มาย้อนหลังได้
โดยยังร่วมผลักดันการลดผลกระทบด้านการเปลี่ยนแปลงของสภาวะอากาศ ผ่านโครงการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงมากกว่า 10,000 ตัน/ปี รวมถึงลดการใช้พลาสติก
เพิ่มการใช้พลังงานหมุนเวียน เพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากร และคำนึงถึงหลักการใช้แรงงานอย่างมีจริยธรรมตามหลักปฏิบัติขององค์กรสหประชาชาติ” นายพิชิตชัย กล่าวย้ำและเพิ่มเติมว่า
ทั้งนี้ บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ได้ยื่นขออนุญาตเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนเป็นครั้งแรกและแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต. ไปเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2565
โดยมีบริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับแผนการเสนอขายหุ้นสามัญให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรก หรือ IPO จำนวนไม่เกิน 660 ล้านหุ้น
ประกอบด้วย หุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 600 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดยไทยยูเนี่ยนจำนวนไม่เกิน 60 ล้านหุ้น เพื่อลงทุนในการปรับปรุงโรงงานทั้งสองแห่งให้ทันสมัยด้วยระบบและเครื่องจักรอัตโนมัติเพื่อขยายกำลังการผลิตและประสิทธิภาพการผลิต
ขยายระบบโครงสร้างพื้นฐานสนับสนุนการผลิต ลงทุนในระบบคลังสินค้าและติดฉลากอัตโนมัติ รวมถึงต่อยอดศักยภาพด้านการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ขยายธุรกิจ ชำระคืนเงินกู้ยืม และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนให้กับบริษัท
นายพรชัย ตติยชัยทวีสุข รักษาการประธานเจ้าหน้าที่ด้านการพาณิชย์ บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ไอ-เทล มุ่งเน้นการพัฒนาอาหารสัตว์เลี้ยงร่วมกับพันธมิตรและลูกค้าเพื่อตอบโจทย์ความต้องการใหม่ๆ ของเจ้าของและสัตว์เลี้ยงในทุกแง่มุม
ด้วยจุดเด่นของแพลตฟอร์มรับผลิตอาหารสัตว์เลี้ยง ที่มีบริการครบวงจรตั้งแต่การวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะตัว (personalized solution) จนถึงการผลิตในทุกขั้นตอน
โดย ไอ-เทล มีระบบนิเวศเชิงนวัตกรรม (innovation ecosystem) ที่รอบด้าน เช่น Global PetCare Innovation Center ที่มุ่งสร้างมูลค่าเพิ่มและส่วนผสมใหม่
โดยเน้นเรื่องความยั่งยืน ศูนย์ Global Innovation Center ของไทยยูเนี่ยน และยังมีโรงงานต้นแบบสำหรับผลิตภัณฑ์สินค้าทดลองให้ลูกค้าก่อนพัฒนาสู่ตลาดจริง รวมทั้งศูนย์ i-Tail Cattery เพื่อศึกษาอาหารสำหรับแมวโดยเฉพาะ
นอกจากนี้ยังเป็นพันธมิตรกับสถาบันการศึกษาอีกหลายแห่ง ทำให้ไอ-เทล มีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายรวมกว่า 4,600 ผลิตภัณฑ์ โดยบริษัทมีความชำนาญและความสามารถในการผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงแบบเปียกที่ผลิตจากเนื้อปลา
ซึ่งมีกระบวนการในการผลิตที่ยากโดยเฉพาะในการที่จะทำให้ผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงแบบเปียกมีรูปร่างหน้าตา (Appearance) ที่ดีและน่ารับประทาน
โดยเน้นการให้คุณค่าทางโภชนาการอย่างครบถ้วน และน่ารับประทานเหมือนอาหารสำหรับมนุษย์ทั่วไปมากยิ่งขึ้น ทั้งรูปแบบของน้ำเกรวี่ น้ำซุป เยลลี่ และ “ร็อคสตาร์” หรือโปรตีนที่มีลักษณะและเนื้อสัมผัสเหมือนเนื้อสัตว์
และได้พัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ทำให้ ไอ-เทล ได้รับความไว้วางใจอันยาวนาน จากบริษัทผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงรายใหญ่ของโลกทั้งในสหรัฐอเมริกา ยุโรป และเอเชีย
นายนคร นิรุตตินานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่ด้านปฎิบัติการ บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ไอ-เทล ดำเนินการผลิตสินค้าที่โรงงาน 2 แห่งในจังหวัดสมุทรสาครและสงขลา ที่มีกำลังการผลิตรวม 172,786 ตัน/ปี พร้อมด้วยคลังสินค้าทันสมัยที่มีพื้นที่จัดเก็บรวม 68,770 พาเลท
โดยนำระบบการผลิตแบบอัตโนมัติมาใช้ในหลายขั้นตอน เพื่อเพิ่มศักยภาพในการบริหารจัดการและควบคุมต้นทุน กระบวนการผลิตของไอ-เทล โดยโรงงานทั้งสองแห่งได้รับการรับรองมาตรฐานด้านคุณภาพและความปลอดภัยจากทั้งหน่วยงานระดับชาติและระดับสากล
ไม่ว่าจะเป็น GMP HACCP และ BRC Global Standard for Safety นอกจากนี้ ไอ-เทล ยังมุ่งเน้นการเลือกแหล่งวัตถุดิบที่น่าเชื่อถือ โดยปลาทูน่าซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 43-49% ของมูลค่าการสั่งซื้อวัตถุดิบรวม
บริษัทได้รับประโยชน์จากการอยู่ในกลุ่มไทยยูเนี่ยนซึ่งเป็นผู้ผลิตปลาทูน่ารายใหญ่ของโลก สำหรับไก่ซึ่งเป็นอีกหนึ่งวัตถุดิบสำคัญ ก็ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการที่ประเทศไทยเป็นหนึ่งในผู้ผลิตเนื้อไก่รายใหญ่ของโลก จึงมั่นใจได้ว่า ไอ-เทล จะมีวัตถุดิบป้อนเข้าสู่กระบวนการผลิตอย่างสม่ำเสมอ
19 กรกฎาคม 2565
ผู้ชม 311 ครั้ง