SCM ประเดิม!SETยกระดับ!Network Marketingไทย
SCM ประเดิม!SETยกระดับ!Network Marketingไทย
SCM ประเดิม!SETยกระดับ!Network Marketingไทย
ดัน!ระบบก้าวข้าม70,000ลบ.-ปรับแผนสู่Hybrid SCM
SCM เดินหน้ายกระดับมาตรฐานธุรกิจ Network Marketing แบรนด์ไทยแห่งแรกที่เข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) หรือ SET นักลงทุนตอบรับดีเกินคาด หลังเปิดการซื้อขายวันแรก พร้อมปันผลผู้ถือหุ้นไม่ต่ำกว่า50%
ชี้!ปัจจัยเสี่ยงเศรษฐกิจ การเมือง โควิด -19 ควบคุมไม่ได้ แต่พร้อมพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสเดินหน้าวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์นวัตกรรมใหม่ๆ ตอบโจทย์ตลาดสุขภาพ ตอกย้ำความเป็นผู้นำในตลาดอาเซียน
นายแพทย์ สิทธวีร์ เกียรติชวนันต์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซัคเซสมอร์ บีอิ้งค์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCM ผู้นำธุรกิจผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภค กล่าวว่า การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ของ SCM ในช่วงที่ผ่านมา ถือเป็นการสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับวงการธุรกิจ Network Marketing
ด้วยการเป็นผู้ประกอบการแบรนด์ไทยแห่งแรกที่เข้าเทรดใน SET ที่จะช่วยยกระดับมาตรฐานของอุตสาหกรรมดังกล่าวให้เป็นที่ยอมรับในสังคมมากขึ้น หลังจากบริษัทมีการเตรียมความพร้อมและปรับโครงสร้างการบริหารงานภายในใหม่เพื่อเข้าเกณฑ์มาตรฐานนี้มากว่า 4 ปี
ประกอบกับ SCM ต้องการสร้างแบรนด์ให้เป็นที่ยอมรับและรู้จักในวงกว้าง โดยเฉพาะการสร้างชื่อเสียงในตลาดอาเซียนภายใต้แผนงานขยายตลาดเพื่อก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้นำในตลาดอาเซียน
สำหรับหุ้น SCM ได้รับการตอบรับจากนักลงทุนและผู้ที่สนใจเป็นอย่างดี จะเห็นได้จากยอดจองหุ้นที่เข้ามาเป็นจำนวนมาก โดยหลังเปิดทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) วันแรก (วันที่ 8 กันยายน 2563)
พบว่าหุ้น SCM ได้รับความสนใจจากกลุ่มนักลงทุนและผู้ที่สนใจเกินความคาดหมาย โดยมีราคาเปิดตลาดอยู่ที่ 2.86 บาท เพิ่มขึ้น 0.96 บาท จากราคา IPO ที่ 1.90 บาทต่อหุ้น หรือหุ้นพุ่งเหนือจอง 50.53% ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่านักลงทุนมีความเชื่อมั่นใน SCM และอุตสาหกรรมเครือข่ายของไทย
นายแพทย์ สิทธวีร์ กล่าวต่อไปว่า สำหรับวัตถุประสงค์ของการเข้า SET ของ SCM นั้นก็เพื่อต้องการระดมทุน ซึ่งได้มาจำนวน 280 ล้านบาท เพื่อนำไปใช้ในการปรับปรุงสาขาเดิมที่มีอยู่และขยายสาขาใหม่ๆ รวมถึงใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนภายในกิจการ
ควบคู่กับการพัฒนาทางด้านดิจิทัลแพลตฟอร์มต่างๆ เพื่อสร้างจุดแข็งและต่อยอดทางธุรกิจของ SCM ด้วยการนำข้อมูล หรือ Big Date มาวิเคราะห์เพิ่มประสิทธิภาพของยอดขายควบคู่กับการสนับสนุนสมาชิกนักธุรกิจซัคเซสมอร์ในประเทศไทยและต่างประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ
ส่วนของนโยบายการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในแต่ละปีนั้น จะจ่ายในอัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละ 50 ของกำไรสุทธิหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคลตามงบการเงินเฉพาะกิจการ และภายหลังการจัดสรรทุนสำรองตามกฎหมาย
ทั้งนี้อาจพิจารณาจ่ายเงินปันผลแตกต่างไปจากนโยบายที่กำหนดไว้ได้ ขึ้นอยู่กับผลประกอบการ สภาพคล่องทางการเงิน และความจำเป็นในการใช้เงินทุนหมุนเวียนเพื่อบริหารกิจการ และแผนการขยายธุรกิจในอนาคต รวมถึงภาวะเศรษฐกิจ
นอกจากนั้นการเข้า SET ยังแสดงถึงความแข็งแกร่งและความมั่นคงในการดำเนินธุรกิจให้กับสมาชิกฝ่ายขายและผู้บริโภคที่มีความเชื่อมั่นในสินค้าและธุรกิจขายตรงมากขึ้น เนือ่งจากมีมาตรฐานตามเกณฑ์บริษัทจดทะเบียนในระดับสากล
อีกทั้งการเข้า SET ยังเป็นการยกระดับแบรนด์ของ SCM ให้เป็นที่รู้จักกับนักลงทุนและประชาชนทั่วไปมากขึ้นด้วย ซึ่งสะท้อนได้จากเมื่อครั้งการเข้าเทรดวันแรกนั้นปรากฎว่ามีนักลงทุนรายย่อยเข้ามาลงทุนกับหุ้นบริษัทกว่า 4,400 ราย
นอกจากนี้ SCM ยังได้รับการเปลี่ยนสถานะจากสมาชิกวิสามัญเป็นสมาชิกสามัญของสมาคมการขายตรงไทย (TDSA) ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจจริงของทีมผู้บริหารของ SCM ที่มีความเป็นมืออาชีพ มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้
และมีธรรมาภิบาลในการดำเนินธุรกิจ Network Marketing ตลอด 7 ปีที่ผ่านมา ภายใต้ปรัชญาที่ว่า Inspiration for your Being “แรงบันดาลใจเปลี่ยนชีวิตคุณ”
นายนพกฤษฏิ์ นิธิเลิศวิจิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร(CEO) บริษัท ซัคเซสมอร์ บีอิ้งค์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCM กล่าวว่า แม้สภาวการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ทั้งปัญหาเศรษฐกิจ การเมือง รวมถึงการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด – 19 ล้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงภายนอกที่อยู่เหนือการควบคุม
แต่ทว่า SCM ได้ปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ โดยมุ่งเน้นการพัฒนาระบบ Digital Platform ใช้เครื่องมือออนไลน์เป็นหลัก เช่นแอปพลิเคชันต่างๆ ที่สามารถเข้าถึงกลุ่มคนได้ง่ายเพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีกับแบรนด์
การจัดประชุมผู้นำทางธุรกิจผ่าน Zoom เพื่อสอนทักษะการสร้างและรักษาทีมงาน สอนการสร้างแบรนด์ส่วนตัว ทำอย่างไรให้แบรนด์มีเสน่ห์ และโชว์ผลลัพธ์ความสำเร็จต่างๆ ให้เห็น
เพื่อนำไปสู่การสร้างความสำเร็จที่ยั่งยืน โดยสิ่งที่เป็นแก่น หรือหัวใจหลักสำคัญของการบริหารงานคือการสร้างวัฒนธรรมองค์กรให้มีความเป็นหนึ่งเดียว
นอกจากนั้นในฐานะผู้ประกอบการ SCM ก็ต้องเตรียมความพร้อมอยู่เสมอ โดยที่ SCM ได้มองตัวเองเป็นแพลตฟอร์มสำหรับซื้อ-ขายสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นเป็นหลักและเพิ่มไลน์กลุ่มสินค้าพรีเมี่ยมเรื่องดูแลสุขภาพ ในกลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของคนที่มีแนวโน้มในการใส่ใจดูแลสุขภาพมากขึ้น
โดยมุ่งเน้นการสร้างสังคม Wellness & Well-being เพื่อสร้างชุมชนคนรักสุขภาพ พร้อมยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงสถานการณ์โควิด -19 ทุกคน ทุกอาชีพมีความกังวล
ดังนั้นต้องชี้ให้เห็นว่าอาชีพที่ 2 มีความจำเป็น องค์กรต้องมีเครื่องมือที่ทำให้คนมั่นใจ พร้อมที่จะปรับตัวเพื่อขับเคลื่อนธุรกิจต่อไปได้ เพราะถ้าปรับตัวไม่ได้ธุรกิจก็จะไปต่อไม่รอด
ซึ่งช่วงเวลานี้ธุรกิจ Network Marketing ยังมีโอกาสที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค การสร้างแพลตฟอร์มออนไลน์จึงเป็นหัวใจสำคัญของการดำเนินธุรกิจในยุคปัจจุบัน ซึ่งจากกลยุทธ์ออนไลน์ส่งผลให้ปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนยอดขายจากช่องทางดังกล่าวเพิ่มขึ้นจาก 10% เป็น 20%
ดังนั้นทาง SCM จึงผสมผสานกลยุทธ์ทางการตลาดและขยายฐานสมาชิกทั้งทางออฟไลน์ผ่านสาขากว่า 23 แห่งทั่วประเทศควบคู่กับทางออนไลน์ในยุคปัจจุบันในลักษณะของธุรกิจที่เป็น Hybrid SCM
CEO "นพกฤษฏิ์" กล่าวต่อไปว่า นอกจากการพัฒนาเครื่องมือ Digital Platform แล้ว SCM ยังให้ความสำคัญกับตัวแทนจำหน่ายใน 6 ประเทศ ในภูมิภาคอาเซียน ได้แก่ เมียนมา ลาว กัมพูชา เวียดนาม มาเลเซีย และสิงคโปร์
โดยได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากแนวโน้มอัตราการเติบโตที่เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องจากเทรนด์สุขภาพ และสังคม Aging society ซึ่งที่ผ่านมา SCM ยังคงให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีนวัตกรรมใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง
โดยมุ่งตอบโจทย์ความต้องการของตลาดในกลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร สุขภาพ ความสวย ความงาม ภาคการเกษตร เทคโนโลยีและนวัตกรรม จะเห็นได้จากการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง หรือไตรมาสละ 1 - 2 รายการ โดยในเดือนพฤศจิกายนจะออกผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับการดูแลเส้นผม
จากปัจจุบันที่มีสินค้าให้เลือกกว่า 70 รายการ ครอบคลุม 7 กลุ่มผลิตภัณฑ์ ได้แก่ 1.กลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร 2.กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง 3.กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนตัว 4.กลุ่มผลิตภัณฑ์สินค้าในครัวเรือน
5.กลุ่มผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร 6.กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับนวัตกรรมและเทคโนโลยี 7. กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายโดยส่วนใหญ่ใช้ตราสินค้าของผู้จัดจำหน่ายภายนอก (กลุ่มสินค้ารายการ Multi-Potential)
ซึ่งการมีผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมทุกกลุ่มสินค้า ถือว่าเป็นจุดแข็งและข้อได้เปรียบที่ทำให้นักธุรกิจและผู้บริโภคมีความมั่นใจที่เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ของ SCM ทั้งนี้ปัจจุบันมีนักธุรกิจซัคเซสมอร์ 180,000 คนทั่วประเทศ และมีเป้าหมายที่จะขยายนักธุรกิจให้ได้ 200,000 คนภายในสิ้นปี 2563 นี้
CEO "นพกฤษฏิ์" กล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งนี้ปัจจุบันภาพรวมธุรกิจขายตรงของไทยมีมูลค่าคงที่ประมาณ 70,000 ล้านบาทมากว่า 10 ปี โดยมองว่ายังคงแข่งขันรุนแรงและต่อเนื่องจะเห็นได้จากการที่มีผู้เล่นหน้าใหม่เข้ามาเล่นในตลาดนี้มากขึ้น
แต่ด้วยกลยุทธ์ของ SCM ที่เน้นการสร้างแบรนด์และความสัมพันธ์อันดีระหว่างองค์กรกับนักธุรกิจโดยเฉพาะในกลุ่มบุคคลที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป ภายใต้หลักการกำกับดูแลธุรกิจให้มีมาตรฐาน มีระบบสนับสนุนธุรกิจที่มั่นคง
ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาบุคคลให้มีภาวะผู้นำ การให้ความรู้ที่ถูกต้องในการสร้างคุณค่าให้กับผู้อื่นและสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ผ่านการจัดกิจกรรมต่างๆ รวมถึงการฝึกอมรมให้ความรู้และเทคนิคต่างๆ
ซึ่งเป็นหลักสูตรที่ถูกพัฒนาขึ้นมาโดยสถาบัน Successmore Leadership Academy (SLA) ที่ช่วยยกระดับศักยภาพและความสำเร็จ โดยการพัฒนาทรัพยากรบุคคลทั้งด้าน Mindset, Toolset, Skillset และ Teamwork
เพื่ออัพเกรดความรู้ ความสามารถและทักษะของทีมงานและผู้นำทางธุรกิจมาใช้ต่อยอดในการทำงานอย่างเต็มศักยภาพ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถือเป็นจุดแข็งของ SCM ที่ทำให้สามารถแข่งขันในตลาดนี้ได้
นอกจากนั้นการที่ SCM นับเป็นบริษัท Network Marketing แบรนด์ไทยแห่งแรกที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ โดยถือเป็นแบรนด์ไทยแห่งแรกที่ได้พลิกโฉมหน้าประวัติศาสตร์ของอุตสาหกรรมนี้และคาดว่าจะเป็นแรงผลักดันให้ธุรกิจนี้มีมูลค่าการเติบโตที่มากกว่า 70,000 ล้านบาทในปัจจุบัน
24 กันยายน 2563
ผู้ชม 2604 ครั้ง