52 ปี "การเคหะแห่งชาติ" กางแผนปี68 เดินหน้าส่งมอบบ้าน64,000หน่วย
52 ปี "การเคหะแห่งชาติ" กางแผนปี68 เดินหน้าส่งมอบบ้าน64,000หน่วย
52 ปี "การเคหะแห่งชาติ" กางแผนปี68 เดินหน้าส่งมอบบ้าน64,000หน่วย
ปรับกลยุทธ์รุกรายได้ทะลุ!700ลบ.-เล็ง!PPPิมิกซ์ยูส/ยักษ์ใหญ่-เจาะสูงวัย
นายทวีพงษ์ วิชัยดิษฐ ผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ เป็นประธานในการแถลงข่าวผลการดำเนินงานครบรอบ 52 ปี การเคหะแห่งชาติ (กคช.) พร้อมแถลงผลการดำเนินงานปี 2567 และแผนการขับเคลื่อนการพัฒนาที่อยู่อาศัยปี 2568
โดยมีผู้บริหารและผู้ปฏิบัติงานการเคหะแห่งชาติ รวมทั้งสื่อมวลชนร่วมงาน ณ สำนักงานใหญ่การเคหะแห่งชาติ ถนนนวมินทร์ คลองจั่น บางกะปิ กรุงเทพฯ
นายทวีพงษ์ วิชัยดิษฐ ผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ กล่าวว่า การเคหะแห่งชาติ เป็นรัฐวิสาหกิจ สังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) มีภารกิจหลักในการพัฒนาที่อยู่อาศัย ชุมชน และเมือง ควบคู่ไปกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัยในชุมชน
และในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2568 นี้จะครบรอบ 52 ปี ของการก่อตั้ง โดยที่ผ่านมา การเคหะแห่งชาติ ได้พัฒนาที่อยู่อาศัยในทุกรูปแบบไปแล้วจำนวนทั้งสิ้น 754,971 หน่วย อาทิ โครงการบ้านเอื้ออาทร โครงการเคหะชุมชน โครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง และโครงการอาคารเช่า เป็นต้น
ทั้งนี้ในปี 2567 ที่ผ่านมา การเคหะแห่งชาติ มีการส่งมอบบ้านทั้งการเช่าและการขายไปแล้วจำนวน ุ64,000 หน่วย สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้จำนวน 55,000 หน่วย คิดเป็นรายได้จำนวน 700 ล้านบาท กำไรมากกว่า 400 ล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าปี 2566 เล็กน้อย
สำหรับในปี 2568 ได้ตั้งเป้าหมายส่งมอบบ้านจำนวน 64,000 หน่วย โดยจะมีการดำเนินการก่อสร้างใหม่เพิ่มเติม 11 โครงการ มูลค่าลงทุนรวม 2,000 ล้านบาท โดยเป็นโครงการเพื่อเช่า 3 โครงการและ เพื่อขาย 8 โครงการ รวมทั้งหมด 1,000 หน่วย
โดยจะมีการพิจารณาดำเนินการก่อสร้างจากที่ดินที่มีเหลืออยู่กว่า 94 แปลง จากทั้งหมด 123 แปลง แต่ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมามีการดำเนินการไปแล้วจำนวน 49 แปลง
อย่างไรก็ตามจากไตรมาสแระที่ผ่านมายังทำได้ต่ำกว่าเป้าหมายที่ควรได้ 25% ของเป้าหมายแต่ทำได้เพียง 10% ของเป้าหมายเท่านั้น เนื่องจากการก่อสร้างโครงการใหม่ยังล่าช้าอยู่
ดังนั้นในปีนี้จึงมีแผนงานเพื่อสร้างรายได้เพิ่มเติม จากปัจจุบันที่ การเคหะแห่งชาติ มีรายได้หลัก จากการขายและจากการเช่าเป็นหลัก ซึ่งคาดว่ารายได้ดังกล่าวจะยังอยู่ในสภาพทรงตัว จำนวน 700 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา
ดังนั้นจึงวางเป้าหมายที่จะสร้างรายได้เพิ่มเติมด้วยการจัดประโยชน์ที่ดินที่มีอยู่ให้กับภาคเอกชนที่สนใจร่วมโครงการในรูปแบบ การร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (Public–Private Partnership หรือ PPP) ลักษณะมิกซ์ยูส หรือ เช่าเพื่อลงทุนดำเนินธุรกิจ
โดยมีทำเลที่มีศักยภาพในการดำเนินการดังกล่าวได้แก่พื้นที่โครงการชุมชนดินแดงระยะที่ 4 ที่จะมีการเปิดให้เอกชนมาสร้างมิกซ์ยูสเพื่อสร้างรายได้ในสัดส่วน 50% ของโครงการระยะดังกล่าว
ทั้งนี้เพราะจากโครกงารดังกล่าวมีเพียงรายได้จากค่าเช่า แต่การดำเนินการก่อสร้างมาจากเงินกู้ ซึ่งจะทำให้ใช้ระยะเวลามากกว่า 100 ปีในการชำระหนี้ที่กู้มา
แต่ทั้งนี้ปัจจุบันโครงการชุมชนดินแดงที่กำลังดำเนินการอยู่มีความล่าช้าและมีการปรับแผนใหม่จากอุปสรรคของสัญญาว่าจ้างการก่อสร้าง ดังนั้นจึงต้องมีการมาพิจารณาแผนการก่อสร้างใหม่ทั้งหมด ซึ่งจะทำให้โครงการล่าช้าไปจากเดิมอีก 4 ปี
นอกจากนั้นยังมีพื้นที่ที่มีศักยภาพในการสร้างรายได้ ได้แก่ ร่มเกล้า ที่ทางกลุ่มเซ็นทรัลก็ให้ความสนใจในการพัฒนาที่ดินดังกล่าว แต่ทั้งนี้มีความประสงค์เช่าระยะยาว 30 ปี
ซึ่งต้องมีขั้นตอนในการเข้าพิจารณาของคณะกรรมการบริหารของการเคหะแห่งชาติต่อไป รวมถึงต้องมีการหารือร่วมกับทางกรมธนารักษ์ด้วย ในขณะที่โครงการที่หนองหอย จ.เชียงใหม่ ก็มีศักยภาพในการสร้างมิกซ์ยูส เพื่อสร้างรายได้ให้ การเคหะแห่งชาติ ได้เช่นกัน
รวมถึงพื้นที่โครงการบางพลี และพื้นที่ลำลูกกา ที่มีอยู่ก็สามารถพัฒนาได้ด้วย ทั้งนี้เพราะปัจจุบัน การเคหะแห่งชาติ มีโครงการสร้างค้าง หรือ Sunk Cost (ซังก์คอสต์) ทั่วประเทศกว่า 4,000 ไร่ และ แลนด์แบงก์ อีกกว่า 5,000 ไร่ ที่สามารถนำมาดำเนินการสร้างรายได้ได้เช่นกัน
อย่างไรก็ตามหากประชาชนที่ต้องการซื้อบ้านของการเคหะแห่งชาติแล้วโดนปฏิเสธสินเชื่อ การเคหะแห่งชาติ ยังมี โครงการสินเชื่อเพื่อการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อย เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้มีรายได้น้อยที่ไม่ผ่านการพิจารณาสินเชื่อจากสถาบันการเงินได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองได้
ซึ่งนับตั้งแต่ปี 2563-2567 ได้อนุมัติสินเชื่อไปแล้วจำนวน 1,785.116 ล้านบาท สามารถช่วยเหลือกลุ่มผู้มีรายได้น้อยได้มีบ้านเป็นของตนเอง จำนวน 2,758 ครัวเรือน
แบ่งออกเป็น กลุ่มลูกค้าทั่วไป 2,404 ราย และกลุ่มเปราะบาง 354 ราย และในปี 2568 การเคหะแห่งชาติ ได้รับจัดสรรงบประมาณ จำนวน 388.800 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถปล่อยสินเชื่อให้กับประชาชนได้ประมาณ 648 ราย
นายทวีพงษ์ กล่าวต่อไปว่า ในการดำเนินงานของ การเคหะแห่งชาติ มุ่งเน้นการขับเคลื่อนงานตามนโยบายของนายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) ที่มีมุมมองต่อการพัฒนาศักยภาพทุนมนุษย์ และมุ่งเน้นนโยบายสำคัญที่เรียกว่า 5×5 ฝ่าวิกฤตประชากร
ได้แก่ เสริมพลังวัยทำงาน เพิ่มคุณภาพและผลิตภาพของเด็กและเยาวชน สร้างพลังผู้สูงอายุ เพิ่มโอกาสและเสริมคุณค่าคนพิการ และสร้างระบบนิเวศที่เหมาะสมเพื่อพัฒนาความมั่นคงของครอบครัว (เกี่ยวข้องโดยตรงกับการเคหะแห่งชาติ)
ดังนั้นการขับเคลื่อนการดำเนินงานเรื่องบ้านสำหรับคนทุกช่วงวัย (Housing for all) และชุมชนน่าอยู่สำหรับประชากรทุกกลุ่มวัย (Community for all) จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องเร่งดำเนินการ
และในปี 2568 รมว.พม. ยังได้ผลักดัน 9 โครงการ Flagship ต่อยอดนโยบาย 5X5 ฝ่าวิกฤตประชากร ซึ่งภารกิจที่กา เคหะแห่งชาติ ได้รับมอบหมายจาก รมว.พม. ให้ดำเนินการ คือ บ้านสำหรับคนทุกช่วงวัย (Housing for all)
ประกอบด้วย โครงการบ้านตั้งต้น (First Jobber) การเคหะแห่งชาติ ได้นำโครงการอาคารเช่ามาให้กลุ่มคนวัยเริ่มทำงาน (First Jobber) ได้เช่าในราคาพิเศษ โดยคัดเลือกโครงการที่อยู่อาศัยในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล จำนวน 8 โครงการ รวมทั้งสิ้น 1,428 หน่วย ให้เช่าในราคาเริ่มต้น 1,200 บาทต่อเดือน โดยตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2566–30 กันยายน 2567 มีประชาชนทำสัญญาเช่ารวมทั้งสิ้น 540 หน่วย
นอกจากนั้นทางพม.ยังให้ความสำคัญกับกลุ่มผู้สูงอายุ ที่เป็นเทรนด์ประชากรหลักของประเทศไทยที่จะมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นทาง การเคหะแห่งชาติ ก็ต้องมีการปรับแผนสร้างที่อยู่อาศัยเพื่อรองรับประชากรกลุ่มนี้ในทุก Segment เช่นกัน ทั้งกลุ่มผู้สูงอายุที่สามารถดูแลดูเองได้ หรือลักษณะ Nursing Home หรือที่อยู่อาศัยสำหรับการดูแลผู้สูงอายุที่ป่วยติดเตียง เป็นต้น
ซึ่งก็ต้องมีการพัฒนาโครงการร่วมกับเอกชนที่มีความชำนาญด้านนี้ อีกทั้งทาง พม. ก็มีการสร้างและฝึกอบรมบุคลากรเพื่อรองรับการดูแลกลุ่มผู้สูงอายุไว้แล้วเช่นกัน
ผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ กล่าวต่อไปว่า นอกจากการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแล้ว การเคหะแห่งชาติ ยังให้ความสำคัญกับการดำเนินงานด้านความรับผิดชอบต่อสังคม (CSR)
โดยได้จัดทำโครงการปรับปรุงที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุซึ่งเป็นผู้มีรายได้น้อยและผู้ยากไร้ (บ้านสบายเพื่อยายตา) ซึ่งผลการดำเนินงานตั้งแต่ ปี 2553-2567 จำนวนทั้งสิ้น 512 หลัง
โดยเฉพาะในปี 2567 ได้ดำเนินการปรับปรุงที่อยู่อาศัยและสร้างใหม่จำนวนทั้งสิ้น 71 หลัง ในพื้นที่ 7 จังหวัด ได้แก่ พิจิตร ตราด ประจวบคีรีขันธ์ พะเยา ชัยภูมิ สตูล และสุพรรณบุรี
และในปี 2568 ได้มีการเปลี่ยนชื่อโครงการเพื่อให้สอดคล้องกับ Flagships ด้านที่ 3 “สร้างงาน สร้างรายได้ พัฒนาคุณภาพชีวิตคนเปราะบาง” และครอบคลุมกับกลุ่มเป้าหมายตามภารกิจของกระทรวง พม.
เป็น “โครงการปรับปรุงหรือสร้างที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุและกลุ่มเปราะบางเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดี” (บ้านสบายเพื่อยายตา) และมีเป้าหมายดำเนินการในพื้นที่ 9 จังหวัด จำนวน 30 หลัง ได้แก่ พื้นที่นิคมพึ่งตนเอง 6 จังหวัด จำนวน 23 หลัง และพื้นที่ของกรมกิจการเด็กและเยาวชน 3 จังหวัด จำนวน 7 หลัง
ด้านการบริหารจัดการชุมชนเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัย การเคหะแห่งชาติได้ดำเนินโครงการยกระดับชุมชนต้นแบบสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน (Smart Sustainable Community : SSC) เพื่อส่งเสริมให้ชุมชนสามารถบริหารจัดการชุมชนของตนเองได้อย่างเป็นระบบ และยกระดับชุมชนให้เป็น Smart Sustainable Community
ขณะที่ผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ หรือ ITA ปี 2567 การเคหะแห่งชาติ ได้คะแนน 96.44 คะแนน จาก 100 คะแนนเต็ม เป็นอันดับที่ 1 ของหน่วยงานภายใต้สังกัดกระทรวง พม. และเป็นอันดับที่ 10 ของหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ
“ตลอดระยะเวลา 52 ปีที่ผ่านมา การเคหะแห่งชาติ ให้ความสำคัญกับการพัฒนาที่อยู่อาศัยควบคู่ไปกับการยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัยในชุมชน โดยเริ่มตั้งแต่การออกแบบโครงการที่อยู่อาศัยโดยคำนึงถึงความยั่งยืนตามเกณฑ์ NHA Eco Village เพื่อลดโลกร้อน
และรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมถึงการออกแบบที่อยู่อาศัยในเชิงอารยสถาปัตย์ หรือ Universal Design ซึ่งปัจจุบันการเคหะแห่งชาติ ได้แบ่งสัดส่วนที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ จำนวน 10% ของจำนวนหน่วยทั้งหมด
และในปี 2568 จะเพิ่มสัดส่วนเป็น 20% และในอนาคตจะทยอยเพิ่มจำนวนสัดส่วนขึ้นเรื่อยๆ จนครบ 100% เพราะ Universal Design ไม่ใช่แค่การออกแบบภายในห้องพักอาศัย
แต่หมายถึงสภาพแวดล้อมทั้งหมดของโครงการ ที่ทุกคนสามารถดำเนินชีวิตประจำวันร่วมกันได้อย่างปกติสุข ตามวิสัยทัศน์ “สร้างบ้าน สร้างสุข เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี” ผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ กล่าวสรุป
04 กุมภาพันธ์ 2568
ผู้ชม 226 ครั้ง