สถิติ

73476910

บล. อินโนเวสท์ เอกซ์ ชี้!ปี68ลงทุนเก็งกำไร(Trading)รับผันผวนสูง        

   บล. อินโนเวสท์ เอกซ์ ชี้!ปี68ลงทุนเก็งกำไร(Trading)รับผันผวนสูง

   ลุ้น!ลดดอกเบี้ย3ครั้งกระตุ้นเศรษฐกิจ-แนะลงทุนตราสารทุน/ทองคำ  

   บล. อินโนเวสท์ เอกซ์ เรือธงด้านการลงทุนภายใต้กลุ่มเอสซีบีเอกซ์ (SCBX Group) ประเมินภาพรวมเศรษฐกิจโลกและการลงทุนปี 2568 จะอยู่ในสภาพของ “ความผันผวนสูง ผลตอบแทนต่ำ” กลยุทธ์การลงทุนทีเหมาะคือ “การลงทุนแบบเก็งกำไร (Trading)”

   เศรษฐกิจโลกจะถูกขับเคลือนด้วยแรงสำคัญ 4T ได้แก่ 1. Transition–การเปลียนผ่านจากภาวะเงินเฟอสูงมาสู่ภาวะ Soft Landing 2. Trump-การกลับมาของนโยบาย America First

   3. Technology–พลังขับเคลือนจาก AI และเทคโนโลยีสีเขียว และ 4. Turmoil–ความปั่นปวนทัวโลก อันเนืองมาจากความขัดแย้งระหว่างประเทศ

   ด้านเศรษฐกิจไทยคาดว่าจะเติบโต 2.7% โดยความท้าทายส่วนใหญ่จะเกิดจากนโยบายของนายโดนัลด์  ทรัมป์ทั้งด้านเศรษฐกิจและต่างประเทศ สินทรัพย์ทีน่าลงทุนคือ ทองคำ ตราสารหนีคุณภาพดีใน 1H25 ตลาดหุ้นผันผวน

   เน้นไปทีเชิงรับและหุ้น Value ทีมีการฟื้นตัว แนะนำเลือกลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ จีน อินเดีย และ เวียดนาม ด้านตลาดหุ้นไทยคาดว่ากำไรสุทธิจะเติบโต 22%YoY

   โดยมองเปาหมาย SET Index ที 1,550 จุด กลุ่มอุตสาหกรรมทีคาดว่าจะให้ผลตอบแทนโดดเด่นจะเปนกลุ่มมีการสัดส่วนรายได้ภายในประเทศสูงและเปนกลุ่มเชิงรับ อาทิเช่น กลุ่มอาหารและเครืองดืม และกลุ่มพาณิชย์ 

   นายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บล. อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด กล่าวว่า ภาพรวมการลงทุนในปี 2568 จะอยู่ในสภาพ “ความผันผวนสูง ผลตอบแทนต่ำ” จึงประเมินว่ากลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมสำหรับปีงูเล็กนี้คือ

   “การลงทุนแบบเก็งกำไร (Trading)” ซึ่งต่างจากปีที่ 2567 ผ่านมาที่เคยให้มุมมองว่าเป็นปีแห่งการลงทุนแบบเน้นคุณค่า หรือ A Year of Value Investing เนื่องจากภาพรวมตลาดหุ้นที่ราคาไม่ได้ undervalue เหมือนกับช่วงต้นปี 2567 แล้ว โดยคาดว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยปีนี้จะอยู่ที่ 1,550-1,600 จุด ต่ำสุดที่ 1,350 จุด

   ดร. ปิยศักดิ์ มานะสันต์ หัวหน้านักวิจัยเศรษฐกิจ บล. อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด กล่าวว่า “เศรษฐกิจโลกในป2568 จะถูกขับเคลือนด้วยแรงสำคัญ 4 ประการ (4T) ได้แก่ 1. Transition–เศรษฐกิจโลกกำลังเดินทางสู่ภาวะ Soft Landing จากเศรษฐกิจที่ชะลอลง และเงินเฟ้อที่ลดลง

   2. Trump-การกลับมาของนโยบาย America First ทั้งด้านการค้า, การเข้าเมือง และการคลัง สร้างความกังวลต่อเสถียรภาพทางการคลังและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

   3. Technology–พลังขับเคลื่อนจาก AI และเทคโนโลยีสีเขียว และ 4. Turmoil–ความปั่นป่วนทั่วโลก อันเนื่องมาจากความขัดแย้งระหว่างประเทศ อาทิ วิกฤตยูเครน ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง และการเผชิญหน้าในทะเลจีนใต้

   ด้านเศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญความท้าทายสำคัญ 4 ประการ (4T) ได้แก่ 1. Tightened Economyภาคการผลิตของไทยกำลังสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน 2. Time to Cutนโยบายการเงินตึงตัวเกินไป ธปท. ต้องพิจารณาลดดอกเบี้ยเร็วและต่อเนื่อง

   3. Tax Reformภาครัฐจำเป็นต้องปฏิรูปภาษีครั้งใหญ่ เพื่อลดความเสี่ยงวิกฤตการคลัง และ 4. Temperature Risingความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมที่ทวีความรุนแรง

   โดย InnovestX คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโต 2.7% จากปัจจัยหนุนด้านนโยบายการคลังที่ยังผ่อนคลาย ขณะที่นโยบายการเงินขึ้นอยู่กับการลดดอกเบี้ยของธปท. เป็นหลัก

   ซึ่งคาดว่าปีนี้จะมีการปรับลดลงมา 3 ครั้ง จาก 2.25% เหลือ 1.5% โดยหากลดช้าจะทำให้เศรษฐกิจในประเทศชะลอตัวยิ่งขึ้น ส่วนค่าเงินบาทคาดว่าจะอยู่ที่ 35.3 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ

   ทั้งนี้ ณ เดือนมกราคม 2568 คาดการณ์ว่าการลงทุนและการบริโภคภาคเอกชนเติบโต 0.5% และ 2.2% ขณะที่นักท่องเที่ยวคาดจะเพิ่มขึ้นเป็น 40 ล้านคน ด้านการส่งออกมีแนวโน้มไม่ขยายตัว

   นายสุทธิชัย คุ้มวรชัย หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล. อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด เปิดเผยว่า ความท้าทายสำคัญในปี 2568 ได้แก่ 1) นโยบายด้านเศรษฐกิจและการเมืองโลกของนายโดนัลด์ ทรัมป์  2) ตลาดการเงินโลกจะผันผวนมากขึ้นไปตามกระแสของข้อมูล ข่าวสารที่คาดว่าจะมีความถี่เพิ่มขึ้นมาก

   3) ตลาดหุ้นสหรัฐฯ แม้ว่ายังมีแนวโน้มสดใส แต่ Valuation ของหุ้นที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยแล้วทำให้มีโอกาสเกิดการปรับตัวลดลงได้ หากเกิดเหตุการณ์ที่ผิดคาด 4) เศรษฐกิจโลก กำลังเผชิญกับ 2 ปัญหาใหญ่ คือ ระดับหนี้สูง และผลกระทบจากภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง

   และ 5) ผลกระทบจากมาตรการขึ้นภาษีของนายโดนัลด์ ทรัมป์ คาดว่าจะส่งผลให้เกิด Currency war ตามมา ส่วนปัจจัยที่จะช่วยสนับสนุนตลาดการเงิน ได้แก่

   นโยบายผ่อนคลายการเงินของธนาคารกลาง และนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของหลายๆประเทศ เช่น จีน เพื่อลดผลกระทบจากมาตรการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ

   นายวิศกรณ์ คีรีวรรณ, CFA, ผู้อำนวยการ Investment Strategist ฝ่าย Wealth Products & Strategy บล. อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด  กล่าวว่า การจัดสรรเงินลงทุนปี 2568 ยังคงแนะนำลงทุนในตราสารทุนมากกว่าตราสารหนี้ โดยมีการใช้ทองคำในการกระจายความเสี่ยง

   สิ่งที่นักลงทุนควรคำนึงอยู่เสมอในปี 2568 ก็คือ “การเลือกลงทุน” เนื่องจากเป็นปีแห่งการเข้าสู่ภาวะปกติ (Normalization) ดังนั้นการเติบโตของกำไรตลาดดังเช่นในปี 2567 นั้นอาจจะไม่ได้เห็นในปีนี้

   นอกจากนี้ปัจจัยด้านการเมืองอย่างการมาของนายโดนัลด์ ทรัมป์นั้นถูกสะท้อนเข้าไปในราคาสินทรัพย์นับตั้งแต่รู้ผลการเลือกตั้ง เนื่องความกังวลด้านนโยบาย TRUMP 1.0 ว่าจะหวนกลับมาใน TRUMP 2.0 อีกครั้ง

   โดยมองว่ามีหลายปัจจัยที่เปลี่ยนแปลงไปในปัจจุบันทั้งเงินเฟ้อและเพดานหนี้สหรัฐฯ ที่อยู่ในระดับสูง จึงทำให้ภาพในอดีตนั้น อาจจะไม่ย่ำแย่เหมือนอย่างที่หลายฝ่ายกังวล

   โดยแนะนำ เลือกลงทุน ในหุ้นกลุ่มเงินและหุ้นขนาดกลาง-เล็กสไตล์คุณค่าของสหรัฐฯ เพื่อรอรับจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของทรัมป์ที่จะมาถึง พร้อมทั้งเน้นลงทุนในตลาดเกิดใหม่ที่มีอัตราการเติบโตโดดเด่น

   และได้รับกระทบด้านภาษีนำเข้าของสหรัฐฯต่อเศรษฐกิจน้อยกว่าในอดีตอย่างตลาดหุ้นจีนและเวียดนาม ในขณะที่ด้านตราสารหนี้นั้นแนะนำให้นักลงทุนในตราสารหนี้โลกที่มีอายุ (Duration) ไม่เกิน 3–5 ปี เพื่อล็อกผลตอบแทนและกระจายเสี่ยงในทองคำควบคู่กันไปด้วย

   ขณะที่ นายสิทธิชัย ดวงรัตนฉายา นักกลยุทธ์อาวุโสตลาดหุ้นไทยและต่างประเทศ บล. อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด กล่าวเพิ่มเติมว่า ภาพรวมและกลยุทธ์การลงทุนครึ่งปีแรกมองว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังมีแนวโน้มดีและแข็งแกร่งกว่าภูมิภาคอื่น แนวโน้มดอกเบี้ยยังเป็นการลดลงตามท่าทีของธนาคารกลางสหรัฐฯ

   รวมไปถึงมาตรการสนับสนุนเศรษฐกิจภายในประเทศของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งมีการลดค่าใช้จ่ายและลดภาษีเป็นมาตรการสำคัญ แนะนำ กลุ่มการเงินและหุ้นขนาดเล็กและหุ้นที่ได้ประโยชน์ด้านภาษีที่ลดลง ได้แก่ หุ้น HD, V, COST, WMT

   ในขณะที่เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัว โดยการท่องเที่ยว การบริโภคและการลงทุนในช่วงครึ่งปีแรก ยังมีแนวโน้มที่ดี เศรษฐกิจโลกอยู่ในสภาวะที่สมดุล นอกจากนั้นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศและการลดดอกเบี้ยจะช่วยลดผลจากการชะลอตัวลงของการส่งออกได้ แนะนำ หุ้นขนาดใหญ่

   เน้นตั้งรับในกลุ่มที่มีสัดส่วนภายในประเทศสูงในธีม 1) Value ได้แก่ AOT BBL CPALL 2) Dividend ได้แก่ AP BCP LHHOTEL 3) Laggard ได้แก่ BCH GPSC HMPRO และ 4) Mid-Small cap growth ได้แก่ AMATA AU INSET

   สำหรับนักลงทุนที่มองหาโอกาสการลงทุน สามารถติดตามบทวิเคราะห์ และกลยุทธ์การลงทุนจาก InnovestX ที่ครอบคลุมทุกสินทรัพย์ได้ที่ www.innovestx.co.th/cafeinvest และ Facebook: InnovestX

18 มกราคม 2568

ผู้ชม 200 ครั้ง

Engine by shopup.com