บีทีเอส กรุ๊ปฯ ย้ำ! "หุ้นที่มีมูลค่า" เดินหน้าลด D/E เหลือ 1.34 เท่า
บีทีเอส กรุ๊ปฯ ย้ำ! "หุ้นที่มีมูลค่า" เดินหน้าลด D/E เหลือ 1.34 เท่า
บีทีเอส กรุ๊ปฯ ย้ำ! "หุ้นที่มีมูลค่า" เดินหน้าลด D/E เหลือ 1.34 เท่า
ปรับกลยุทธ์รุก!Virtual Bank-ปี68ลุ้น!20บาทตลอดสายดันรายได้พุ่ง
บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ บีทีเอส กรุ๊ปฯ โดย นายดาเนียล รอสส์ ผู้อำนวยการใหญ่สายการลงทุน และหัวหน้าฝ่ายพัฒนาเพื่อความยั่งยืน ได้เข้าร่วมงานสัมมนา “ถอดรหัสหุ้น ESG เด่น...กำไรแกร่ง ชนะตลาด!” จัดโดยหนังสือพิมพ์ข่าวหุ้น ณ หอประชุมศาสตราจารย์สังเวียน อินทรวิชัย ชั้น 7 อาคาร B ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
โดยการภายในงานมีบริษัทชั้นนำ อาทิ บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอส จำกัด (มหาชน) เข้าร่วมสัมมนาในครั้งนี้
นายดาเนียล รอสส์ ผู้อำนวยการใหญ่สายการลงทุน และหัวหน้าฝ่ายพัฒนาเพื่อความยั่งยืน กล่าวในงานสัมมนาว่า บีทีเอส กรุ๊ปฯ ถือเป็น “หุ้นที่มีมูลค่า” (Value Stock) โดยราคาหุ้นในปัจจุบันอยู่ที่ 5.5 บาทต่อหุ้น ซึ่งต่ำกว่าระดับสูงสุดที่ 14.2 บาทในเดือนธันวาคม 2562 อย่างมีนัยสำคัญ
แม้โครงการรถไฟฟ้ามหานคร สายสีชมพู และสายสีเหลือง ที่เพิ่งเปิดให้บริการคาดว่าจะส่งผลขาดทุนประมาณ 1,800 ล้านบาทในปีนี้ แต่โครงการดังกล่าวยังคงสร้างกระแสเงินสดเป็นบวกจากเงินอุดหนุนประจำปีที่ได้รับจากรัฐบาลมูลค่า 4,800 ล้านบาท
อย่างไรก็ตามการขาดทุนและภาระหนี้จะลดลงเมื่อจำนวนผู้โดยสารมาใช้บริการเพิ่มขึ้น รวมทั้งหากรัฐบาลสามารถดำเนินการซื้อคืนสัมปทาน และกำหนดเพดานค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายได้ภายในเดือนกันยายน 2568 แล้วนั้นจะเป็นการช่วยให้ บีทีเอส กรุ๊ปฯ สามารถกลับมาทำกำไรได้อย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้ บีทีเอส กรุ๊ปฯ พร้อมสนับสนุนอย่างเต็มที่ต่อนโยบายของรัฐบาลที่กำหนดเพดานค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย โดยนโยบายดังกล่าวนั้นจะช่วยเพิ่มความสามารถในการเข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะ
เพิ่มการเปลี่ยนรูปแบบในการเดินทางจากการใช้รถยนต์ส่วนตัวสู่ระบบราง เพื่อเป็นการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในประเทศไทย รวมถึงลดปัญหาการจราจร และมลพิษทางอากาศ PM2.5
และสำหรับในปีงบประมาณ 2567/68 นั้น บีทีเอส กรุ๊ปฯ ได้คาดการณ์กระแสเงินสดจากการดำเนินงานมากกว่า 25,000 ล้านบาท โดยได้รับแรงสนับสนุนจากการชำระหนี้คงค้างค่าเดินรถ (คดีแรก) จากกรุงเทพมหานคร (กทม.) ซึ่งครบกำหนดชำระภายในวันที่ 22 มกราคม 2568 ตามคำพิพากษาตัดสินของศาลปกครองสูงสุด
โดยในขณะเดียวกันบริษัทได้ดำเนินการปรับโครงสร้างองค์กร โดยการเพิ่มทุนทั้งในบีทีเอส กรุ๊ปฯ และบริษัท วีจีไอ จำกัด (มหาชน) หรือ VGI เพื่อช่วยเสริมฐานทุน และลดภาระหนี้
เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับการลงทุนในอนาคต เช่น ธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา (Virtual Bank) และการเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นใน บริษัท แรบบิท โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ RABBIT และบริษัท ร็อคเทค โกลบอล จำกัด (มหาชน) หรือ ROCTEC
จะช่วยสนับสนุนการเติบโตในอนาคตนำมาสู่รายได้ภายใต้ธุรกิจ MATCH ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 20–30% ของรายได้รวมของบริษัท ในปีงบประมาณถัดไป
ทั้งนี้บีทีเอส กรุ๊ปฯ ได้ให้ความสำคัญกับแผนการลดหนี้อย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงต้นปีนี้บริษัทมีหนี้สุทธิ 166,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะลดลงเหลือประมาณ 100,000 ล้านบาท
โดยจะทำให้อัตราส่วนหนี้สินสุทธิที่ปรับปรุงแล้วต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Adjusted net D/E) จาก 2.36 เท่า เหลือเพียง 1.34 เท่า หลังจากการเพิ่มทุนและได้รับการชำระหนี้คงค้างทั้งหมดจากกรุงเทพมหานคร ซึ่งปัจจุบัน VGI และ ROCTEC ปลอดหนี้แล้ว อีกทั้ง RABBIT มีแผนขายสินทรัพย์มูลค่า 16,000 ล้านบาท
นอกจากนั้น บีทีเอส กรุ๊ปฯ ยังได้รับการจัดอันดับเป็นบริษัทขนส่งที่ยั่งยืนที่สุดในโลก จาก DJSI และในปีนี้บริษัทได้ประกาศเจตนารมย์เพื่อมุ่งสู่การเป็นบริษัท Net Zero ภายในปี 2593
ซึ่งมีเป้าหมายที่สอดคล้องกับกรอบ Science Based Targets Initiative (SBTi) เป็นแผนปฏิบัติการของบริษัทฯ ที่ได้รับการอนุมัติโดยคณะกรรมการบริหารในเดือนมีนาคม 2567
07 ธันวาคม 2567
ผู้ชม 64 ครั้ง