สถิติ

70653175

BKI ปรับลดเบี้ยรวมโตเหลือ 7% จากพิษเศรษฐกิจ-เคลม  

   BKI ปรับลดเบี้ยรวมโตเหลือ 7% จากพิษเศรษฐกิจ-เคลม

   แก้เกม!ปั้นกำไรลงทุน-ปี68เล็ง!ขึ้นเบี้ยรถยนต์ซ่อมอู่ห้างฯ      

   กรุงเทพประกันภัย ประกาศผลการดำเนินงาน 9 เดือน ปี 2567 ทำกำไร 2,290.7 ล้านบาท เบี้ยประกันภัยรับรวม 23,122.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.2% ต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้

   รับสภาพปรับลดเป้าหมายเติบโตจาก 8% เหลือ 7% หลังเคลมรถยนต์เพิ่ม เบี้ยประกันภัยเมกะโปรเจ็กท์และนาปี ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย พร้อมแก้เกมทำกำไรจากการลงทุนชดเชยกำไรจากการรับประกันภัยที่ลดลงรักษากำไรใกล้เคียงปี66 

   แย้ม!แผนปี 68 กลับมาเติบโตที่ 8% ควบคู่การคุมเกมต้นทุนประกันภัยรถยนต์เตรียมเพิ่มเบี้ยลูกค้ารายใหม่ซ่อมอู่ห้างอีก 3-5% รับต้นทุนบริการและอะไหล่พุ่ง! สวนทางซ่อมอู่คู่สัญญาบริษัทที่แตกต่างกันถึง 15% 

   ดร.อภิสิทธิ์ อนันตนาถรัตน ประธานคณะผู้บริหารและกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ BKI เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนของปี 2567 (ม.ค.-ก.ย.) บริษัทมีเบี้ยประกันภัยรับรวม 23,122.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.2 เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

   ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ว่าจะเติบโต ุ6.5-7% ดังนั้นภายในสิ้นปี 2567 นี้คาดว่าเบี้ยประกันภัยรวมจะเติบโตต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 8% เหลือ 7% หรือจำนวน 32,000 ล้านบาท จากการที่เบี้ยประกันภัยทรัพย์สินจากโครงการขนาดใหญ่ของรัฐบาลลดลง รวมถึงเบี้ยประกันภัยนาปีที่จะได้รับลดลงกว่า 50% จากเป้าหมายที่ตั้งไว้ด้วย   

   ในขณะที่มีผลกำไรสุทธิจากการรับประกันภัยหลังหักค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานแล้ว 1,361.9 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 15.9 จากการที่ Loss Ratio รถยนต์เพิ่มขึ้นจาก 56% เป็น 59%

   ซึ่งเป็นพอร์ตหลักในการรับประกันภัยของบริษัทที่มีสัดสส่วนอยู่ที่ 44% เพิ่มขึ้นจากสัดส่วน 41-41% ในขณะที่เบี้ยประกันภัยรถยนต์เติบโตอยู่ที่ 10% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาที่เติบโต 14%

   ส่วนผลกำไรจากการลงทุนสุทธิเท่ากับ 1,304.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 14.4 ดังนี้นจึงส่งผลให้บริษัทมีกำไรก่อนหักค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ 2,666.2 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 3.4 และมีกำไรสุทธิ 2,290.7 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 10.0 คิดเป็นกำไรต่อหุ้นขั้นพื้นฐาน 21.51 บาท

   อย่างไรก็ตามบริษัทยังคงรักษาความแข็งแกร่งทางด้านการเงินด้วยการมีอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุน (CAR) สูงกว่าเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด โดยอยู่ที่ร้อยละ 178.13 (ณ 30 ก.ย.67)

   และรักษาอันดับความน่าเชื่อถือทางการเงินในระดับสูงหรือ Credit Rating A- (Stable) (ณ ต.ค. 67) โดย Standard & Poor’s (S&P) สถาบันการจัดอันดับทางการเงินชั้นนำของโลก

   ในขณะที่ปัจจุบันกรุงเทพประกันภัยเป็นบริษัทย่อยที่สร้างรายได้หลักให้แก่ บริษัท บีเคไอ โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BKIH ซึ่งประกอบธุรกิจผ่านการถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) โดยมุ่งลงทุนในธุรกิจหลักด้านการประกันภัยและธุรกิจอื่นที่หลากหลายและมีศักยภาพ

   สำหรับผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนของปี 2567 (ม.ค.-ก.ย.) มีรายได้รวม 17,344.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.0 เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน

   โดยมีรายได้จากการรับประกันภัย 15,917.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.5 จากรายได้จากการรับประกันภัยยานยนต์ที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น และมีรายได้จากการลงทุน 1,427.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 17.8 ซึ่งส่วนใหญ่มาจากเงินปันผลรับและดอกเบี้ยรับ

   ด้านกำไรสุทธิเท่ากับ 2,277.9 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 10.5 คิดเป็นกำไรต่อหุ้นขั้นพื้นฐาน 21.39 บาท โดยที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท บีเคไอ โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) มีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล ครั้งที่ 1

   สำหรับผลการดำเนินงาน 9 เดือนแรกของปี 2567 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2567 ให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราหุ้นละ 11.25 บาท ซึ่งได้จ่ายเงินปันผลแล้วเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 ที่ผ่านมา

             

ตอบโจทย์ชีวิตยุคใหม่ สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และบริการที่เข้าใจในทุกความต้องการ

   ดร.อภิสิทธิ์ กล่าวต่อไปว่า ล่าสุดบริษัทได้เพิ่มทางเลือกให้ลูกค้าตามไลฟ์สไตล์ในปัจจุบัน ด้วยการพัฒนาต่อยอดการให้บริการลูกค้าผ่าน LINE @bangkokinsurance ที่ตอบโจทย์ด้านความสะดวก รวดเร็ว เข้าถึงง่าย ซึ่งได้ดำเนินการต่อเนื่องมาตั้งแต่ช่วงไตรมาสที่ 2 ปี 2567

   โดยอัตราการแจ้งเคลมรถยนต์ผ่าน LINE เพิ่มขึ้นกว่า 61% (เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน) สะท้อนให้เห็นถึงพฤติกรรมของลูกค้าที่ต้องการเลือกใช้บริการที่สะดวกและรวดเร็วผ่านช่องทางออนไลน์

   บริษัทจึงได้ขยายการให้บริการฟังก์ชันแจ้งเคลมรถน้ำท่วม ให้ลูกค้าสามารถนำใบแจ้งเคลมผ่านช่องทาง LINE นำรถเข้าซ่อมอู่ได้ทันที ส่งผลให้ในช่วง 9 เดือนปีนี้มีการแจ้งเคลมผ่าน LINE เพิ่มขึ้นจาก 16,000 รายในปีที่ผ่านมาเป็น 25,000 รายและคาดว่าสิ้นปีนี้จะเพิ่มเป็น 35,000 ราย

   ไม่เพียงเท่านี้ยังเพิ่มช่องทางการแจ้งเคลมประกันภัยประเภทอื่นๆ เช่น ประกันอัคคีภัย ประกันภัยไซเบอร์ และประกันภัยโดรน รวมถึงเปิดให้สามารถแจ้งขอเอกสารลดหย่อนภาษีได้อีกด้วย

   พร้อมกันนั้นบริษัทยังได้พัฒนาการบริการที่อำนวยความสะดวกแก่ลูกค้ามากยิ่งขึ้น ด้วยการส่งมอบใบแจ้งความเสียหายผ่านออนไลน์ โดยให้ลูกค้าสามารถเลือกรับเอกสารในรูปแบบไฟล์ดิจิทัล ผ่าน LINE และ Email ได้ทันทีจากเจ้าหน้าที่สำรวจอุบัติเหตุ ณ จุดเกิดเหตุ

   และสามารถส่งต่อไฟล์เอกสารดังกล่าวให้อู่ซ่อมได้อย่างรวดเร็ว เพื่อจองคิวซ่อมหรือจัดหาอะไหล่ไว้ล่วงหน้าก่อนเข้าซ่อมจริง ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงในการสูญหาย อีกทั้งยังส่งเสริมการลดใช้กระดาษเพื่อสิ่งแวดล้อม โดยเริ่มดำเนินการต่อเนื่องมาตั้งแต่เดือนตุลาคม 2567

   นอกจากนี้บริษัทยังให้ความสำคัญกับการใส่ใจดูแลลูกค้า ด้วยการเพิ่มความอุ่นใจผ่านระบบติดตามสถานะการดำเนินงาน (Progress Tracking)  โดยกำลังอยู่ระหว่างการพัฒนาเเละเริ่มเปิดให้ลูกค้าใช้บริการด้านสินไหมทดแทนยานยนต์บางส่วน คาดว่าจะให้บริการอย่างเต็มรูปแบบได้ภายในช่วงไตรมาสที่ 1 ปี 2568

   ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าสามารถตรวจสอบสถานะในขั้นตอนและกระบวนการต่างๆ ได้ด้วยตนเอง ผ่านช่องทาง LINE @bangkokinsurance ครอบคลุมทั้งงานด้านการรับประกันภัย การชำระเบี้ยประกันภัย และงานสินไหมทดแทน เช่น ตรวจสอบสถานะผลการตรวจสภาพรถยนต์ ขั้นตอนการจัดส่งกรมธรรม์ประกันภัย การชำระเบี้ยประกันภัย

   รวมถึงการตรวจสอบสถานะการเคลมสินไหมทดแทนว่าอยู่ในขั้นตอนใด เช่น การรับเอกสารการเคลม การตรวจสอบเอกสารการเคลม การประเมินราคา การจัดซ่อม การส่งมอบรถ การอนุมัติค่าสินไหมทดแทน และการโอนค่าสินไหมทดแทน เป็นต้น

   สำหรับตัวแทนและนายหน้าซึ่งเป็นคู่ค้าของบริษัทจะสามารถตรวจสอบสถานะดังกล่าวได้อย่างรวดเร็วผ่านช่องทาง Web Partner และเตรียมขยายช่องทางให้บริการลูกค้าและคู่ค้าผ่านช่องทาง Mobile Application อีกด้วย           

   ด้านการยกระดับคุณภาพการบริการของอู่ซ่อมในสัญญา เพื่อให้บริการลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพและสามารถสร้างความประทับใจนั้นเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง เพราะอู่ซ่อมในสัญญานับเป็นหนึ่งใน Supply Chain ที่สำคัญของธุรกิจประกันภัย

   เนื่องจากปัจจุบัน กรุงเทพประกันภัย ยังมีสัดส่วนเบี้ยประกันภัยรถยนต์สูงกว่า 44% บริษัทจึงส่งเสริมการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยได้จัดส่งทีมวิศวกรสำรวจภัยที่มีความเชี่ยวชาญเข้าสำรวจความเสี่ยงภัยของอู่ซ่อมในสัญญา เพื่อให้ข้อเสนอแนะแก่อู่ซ่อมให้มีการปรับปรุงเพื่อลดความเสี่ยงภัยที่อาจเกิดขึ้น   

   นอกจากนี้บริษัทยังพัฒนาการให้บริการของอู่ซ่อมในสัญญาด้วยการจัดส่งคะแนนผลสำรวจความพึงพอใจและข้อเสนอแนะจากลูกค้าแก่อู่ซ่อมในสัญญาเป็นประจำทุกเดือน

   พร้อมกำหนดเกณฑ์และมาตรการที่จะนำไปปรับปรุงงานซ่อมรถยนต์ร่วมกัน โดยหลังจากได้เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ช่วงต้นปี 2567 มีผลตอบรับที่ดีและอู่ซ่อมสามารถเพิ่มคะแนนความพึงพอใจจากลูกค้าได้อย่างต่อเนื่อง

   ทั้งนี้จากการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เข้าใจไลฟ์สไตล์ยุคใหม่และตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า พร้อมความมุ่งมั่นเพื่อยกระดับการบริการที่มีประสิทธิภาพ สะดวก รวดเร็ว เข้าถึงง่าย เเละสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้แก่ลูกค้าเเละคู่ค้า ส่งผลให้บริษัทเติบโตเเละมีผลการดำเนินงานที่ดี

   ทั้งนี้ธุรกิจประกันวินาศภัยยังต้องเผชิญความท้าทายรอบด้าน อาทิ การลงทุนภาครัฐที่ชะลอตัว ค่าเงินที่มีความผันผวนสูง กำลังซื้อของผู้บริโภคที่หดตัวจากภาวะหนี้สินครัวเรือน ปัญหาภัยธรรมชาติ รวมทั้งปัจจัยอื่นๆ ทั้งในและต่างประเทศ

   อย่างไรก็ตามในปี 2568 กรุงเทพประกันภัย ตั้งเป้าว่า เบี้ยประกันภัยจะเติบโตที่ 8% โดยที่เบี้ยประกันภัยรถยนต์ที่เป็นพอร์ตหลักเติบโต 10% พร้อมทั้งได้เตรียมปรับเพิ่มเบี้ยสำหรับประกันภัยรถยนต์รายใหม่ที่ใช้บริการซ่อมอู่ห้างอีก 3-5%

   จากต้นทุนของค่าแรงและค่าอะไหล่ที่การใช้บริการช่องทางนี้ปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เมื่อเทีบกับการซ่อมอู่คู่สัญญาของบริษัทที่มีส่วนต่างของต้นทุนในการเคลมแตกต่างกันถึง 15% 

             

   ด้าน นายชัย โสภณพนิช ประธานกรรมการ กล่าวว่า ในการบิริหารพอรืตลงทุนของบริษัทนั้นจากปัจจุบันที่ทิศทางการลงทุนในตลาดหุ้นคาดว่าผลประกอบการไม่ดีมากนักจากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน โดยดัชนีจะอยู่ที่ 1,450-1,460 จุด

   แต่ทั้งนี้ กรุงเทพประกันภัย ยังสามารถสร้างผลกำไรจากการลงทุนได้ 14.4% ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา เมื่อเทียบกับผลกำไรจากการรับประกันภัยที่ปรับลดลง จากการถือหุ้นปันผลระยะยาว 5-10 ปีเป็นหลัก

   ดังนั้นในไตรมาส 4 นี้จึงเตรียมที่จะขายหุ้นบางตัวที่ถือมานานและมีผลตอบแทนที่ดีเพื่อที่จะสร้างผลกำไรจากการลงทุนให้เติบโต 20% ภายในสิ้นปี 2567 นี้ เพื่อมาชดเชยผลกำไรจากการรับประกันภัยที่ลดลง ทั้งนี้เพื่อให้บริษัทยังสามารถสร้างผลกำไรได้ใกล้เคียงกับปี 2566

                         

สถานการณ์และแนวโน้มตลาดประกันภัยต่อ

   นางสาวลสา โสภณพนิช ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ กล่าวถึงทิศทางภาพรวมตลาดการประกันภัยต่อในปี 2568 โดยคาดการณ์ว่าจะมีความคล่องตัวมากยิ่งขึ้นจากปัจจัยต่างๆ ที่น่าจับตามอง ดังนี้ 

  • ผลประกอบการของบริษัทรับประกันภัยต่อ (Reinsurer) ได้รับผลกำไรจากการดำเนินงานรับประกันภัยต่อมากขึ้น เนื่องจากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมามีการปรับเบี้ยประกันภัยต่อ (Reinsurance Pricing) เพิ่มสูงขึ้นมาก จากการที่ Reinsurer ทั่วโลกประสบภาวะขาดทุนอย่างต่อเนื่องจากความเสียหายจากมหันตภัยในหลายปีที่ผ่านมา รวมทั้งปัจจัยด้านเงินเฟ้อที่สูงขึ้นอย่างมากในยุโรป ทำให้ต้นทุนในการดำเนินงานของ Reinsurer เพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย ดังนั้น Reinsurer จึงต้องการผลกำไรมากขึ้น ส่งผลให้มีการปรับเพิ่มอัตราเบี้ยประกันภัยต่อโดยเฉพาะในปี 2566 ที่มีสภาวะตลาดเป็น Hardening Market ทั่วโลก
  • อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีภัยธรรมชาติเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในปี 2566-2567 แต่ขนาดของความเสียหายโดยรวมยังอยู่ภายใต้การประมาณการ อีกทั้ง Reinsurer ยังมีผลตอบแทนที่สูงจากการลงทุนในพันธบัตรและตลาดทุนโดยเฉพาะการลงทุนในสหรัฐอเมริกา ทำให้บริษัทรับประกันภัยต่อยังสามารถสร้างผลกำไรได้อย่างต่อเนื่อง และส่งผลให้ปริมาณเงินกองทุนของบริษัทประกันภัยต่อเหล่านั้นเพิ่มมากขึ้นจากผลกำไรที่มากขึ้น
  • จากปริมาณเงินกองทุนที่สูงขึ้น ทำให้บริษัทรับประกันภัยต่อส่วนใหญ่ต้องขยายงานเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นจึงคาดการณ์ว่าการต่อสัญญาประกันภัยต่อของบริษัทรับประกันภัยในปี 2568 ในสถานะที่เป็นผู้ซื้อความคุ้มครองจากสัญญาประกันภัยต่อในปีนี้ จะสามารถได้รับอัตราเบี้ยประกันภัยต่อใกล้เคียงกับปี 2567 แต่จะไม่ลดลงไปจากเดิม เนื่องจากสถานการณ์ของภัยธรรมชาติยังคงมีความเปราะบางสูง

                   

สู่อนาคตที่ยั่งยืนด้วยนวัตกรรม ESG ยกระดับสร้างคุณค่าเพื่อโลกที่ดีกว่า

   ในปี 2567 กรุงเทพประกันภัย ได้พัฒนาต่อยอดสู่การเป็นปีแห่ง Regenerative ด้วยการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับทุกกิจกรรมในห่วงโซ่คุณค่าที่บริษัทจะส่งมอบให้แก่ลูกค้า คู่ค้า และผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม

   รวมถึงสังคมและสิ่งแวดล้อมให้ได้รับผลกระทบเชิงบวกจากกระบวนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริการ และกิจกรรมทางธุรกิจต่างๆ ของบริษัทเพื่อร่วมเป็นแรงขับเคลื่อนสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนร่วมกัน

   นางสาวปวีณา จูชวน ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ กล่าวว่า บริษัทได้ผลักดันให้มีนโยบายและกิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG: Environmental, Social and Governance) ผ่านผลิตภัณฑ์ บริการ และกระบวนการดำเนินธุรกิจของบริษัทอย่างต่อเนื่อง

   เพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวกให้แก่สังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างกว้างขวาง พร้อมส่งเสริมสนับสนุนให้ลูกค้าและคู่ค้าของบริษัทมีส่วนร่วมในการช่วยให้สังคมและสิ่งแวดล้อมดีขึ้น ดังนี้ 

  • การออกกรมธรรม์ประกันภัยบ้านอยู่อาศัย Green Guarantee หากลูกค้ากรมธรรม์ประกันอัคคีภัยบ้านอยู่อาศัยเลือกใช้วัสดุก่อสร้างที่ช่วยอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม หรือวัสดุ Green ในการซ่อมแซมบ้านอยู่อาศัย บริษัทจะอนุมัติค่าสินไหมทดแทนเพิ่มให้ตามจริง ไม่เกิน 10% ของวงเงินที่อนุมัติให้ในครั้งแรก โดยเริ่มตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 ปี 2567
  • การเพิ่มทางเลือกให้ลูกค้าสามารถบริจาคเงินให้แก่องค์กรการกุศลแทนการรับของสมนาคุณ โดยให้ลูกค้าที่ซื้อประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคลผ่านเว็บไซต์ของบริษัทสามารถเลือกเปลี่ยน Gift Voucher หรือของสมนาคุณที่ได้รับเป็นเงินบริจาคแก่องค์กรการกุศลได้ เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2567
  • การส่งเสริมให้ลูกค้ามีส่วนร่วมในการบริจาค โดยจะหักค่าเบี้ยประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคลและประกันภัยสุขภาพส่วนหนึ่งเพื่อมอบให้แก่องค์กรการกุศล ซึ่งจะเริ่มให้ลูกค้าที่ซื้อกรมธรรม์ประกันภัยโรคมะเร็งกับบริษัทโดยตรง หรือผ่านเคาน์เตอร์ธนาคารกรุงเทพ มีส่วนร่วมในการบริจาคเงิน 50 บาทต่อกรมธรรม์ ให้แก่องค์กรการกุศล โดยไม่มีการปรับเพิ่มเบี้ยประกันภัยแต่อย่างใด เริ่มวันที่ 1 มกราคม 2568
  • การลดใช้กระดาษเพื่อช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมการจัดส่งกรมธรรม์ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Policy) โดยบริษัทได้รณรงค์สนับสนุนการใช้ e-Policy อย่างต่อเนื่อง พร้อมจะขยายให้ครอบคลุมประกันภัยทุกประเภท และในปี 2567 บริษัทตั้งเป้าจัดส่ง e-Policy ที่ 107,000 กรมธรรม์ ซึ่งจะช่วยลดปริมาณการใช้กระดาษรวมเกือบ 2 ล้านแผ่น
    นอกจากนี้บริษัทยังมีการจัดกิจกรรมภายในที่ให้ความสำคัญด้าน ESG และสร้างการตระหนักรู้ของพนักงาน เช่น โครงการเปลี่ยนเสื้อเก่าเป็นเสื้อใหม่ ใส่ใจสิ่งเเวดล้อม เพื่อโลกที่ยั่งยืนของเรา ซึ่งพนักงานได้มีส่วนร่วมในการบริจาคเสื้อโปโลและเสื้อคอกลมที่ไม่ใช้งานเเล้วกว่า 500 กิโลกรัม นำมาผ่านกระบวนการรีไซเคิลผลิตเป็นเสื้อยืดรุ่นใหม่ของบริษัทได้กว่า 2,000 ตัว โดยเป็นการช่วยลดการใช้ทรัพยากร ลดปริมาณขยะ ตลอดจนช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ขณะเดียวกันบริษัทได้จัดโครงการเปลี่ยนขยะเศษอาหารเป็นปุ๋ยอินทรีย์ โดยรวบรวมขยะเศษอาหารจากการรับประทานอาหารกลางวันของพนักงานนำมาผลิตเป็นปุ๋ยอินทรีย์ภายใน 24 ชั่วโมง ซึ่งได้นำไปบำรุงต้นไม้ในบริเวณโดยรอบอาคารกรุงเทพประกันภัย รวมถึงแจกจ่ายให้แก่พนักงานที่สนใจ   

27 พฤศจิกายน 2567

ผู้ชม 59 ครั้ง

Engine by shopup.com