"วาย.เอส.เอส." โช้คอัพแบรนด์ไทยขวัญใจนักแข่งระดับโลก
"วาย.เอส.เอส." โช้คอัพแบรนด์ไทยขวัญใจนักแข่งระดับโลก
"วาย.เอส.เอส." โช้คอัพแบรนด์ไทยขวัญใจนักแข่งระดับโลก
ยื่นไฟลิ่งเตรียมเสนอขาย IPO เดินหน้าเข้าจดทะเบียนใน SET
"บริษัท วาย.เอส.เอส. (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)" หรือ "YSS" เป็นผู้ค้นคว้า วิจัย พัฒนา และเป็นผู้ผลิต และจัดจำหน่ายโช้คอัพประสิทธิภาพสูงชั้นนำระดับโลกของไทย ภายใต้แบรนด์ "YSS" ยื่นแบบไฟลิ่งต่อสำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และเตรียมเสนอขายหุ้น IPO ไม่เกิน 160 ล้านหุ้น
ชูศักยภาพผู้นำด้านระบบกันสะเทือนประสิทธิภาพสูงมาตรฐานสากล โดย YSS ถือเป็นแบรนด์ระดับโลกที่ผ่านการรับรองมาตรฐานสินค้า ABE จากเยอรมนี ที่นักแข่งระดับโลกในการแข่งขันระดับนานาชาติหลากหลายรายการเลือกใช้
โดย YSS มีทีมวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่แข็งแกร่ง มีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายมากกว่า 8,000 รายการ ครอบคลุมยานยนต์ชนิดต่างๆ กว่า 3,000 รุ่น
นายภิญโญ พานิชเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วาย.เอส.เอส. (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทเป็นผู้ค้นคว้า วิจัย พัฒนา และเป็นผู้ผลิต และจัดจำหน่ายโช้คอัพประสิทธิภาพสูง (High-Performance) ชั้นนำระดับโลกของไทยสำหรับรถจักรยานยนต์และรถยนต์ ภายใต้แบรนด์ "YSS"
ที่ถือเป็นแบรนด์ระดับโลกที่ผ่านการรับรองมาตรฐานสินค้า Allgemeine Betriebserlaubnis (ABE) จากสถาบัน Kraftfahrt-Bundesamt (KBA)-Federal Motor Transport Authority จากประเทศเยอรมนี ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับสำหรับการผลิตสินค้ายานยนต์ระดับสากล (World Class Suspension)
นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทยังได้รับความไว้วางใจจากนักแข่งระดับโลกในการการแข่งขันระดับนานาชาติหลากหลายรายการ (World Champion Product) )
เช่น แชมป์ผู้ชนะการแข่งขันรายการ World Supersport 300 ต่อเนื่องติดต่อกัน 4 ปี นับตั้งแต่ปี 2563 ถึงปี 2566, รายการ CIV ITALIAN Championship DUCATI V4R ในปี 2566, รายการ World Supersport 600 ในปี 2567
โดยบริษัทดำเนินธุรกิจภายใต้วิสัยทัศน์ที่ "มุ่งสู่การเป็นผู้นำการพัฒนาและผลิตระบบกันสะเทือนระดับโลก สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยเทคโนโลยีและคุณภาพอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับลูกค้า"
บริษัทมีทีมวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ทั้งในและต่างประเทศรวม 8 แห่ง ได้แก่ ไทย เนเธอร์แลนด์ อิตาลี สเปน เยอรมนี ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์
โดยมีประสบการณ์ด้านวิจัยและพัฒนากว่า 30 ปี ปัจจุบันผลิตและจำหน่ายสินค้ามากกว่า 8,000 รายการ ครอบคลุมสินค้ารถจักรยานยนต์ รถยนต์ เอทีวี ยูทีวี และยานยนต์ชนิดต่างๆ กว่า 3,000 รุ่น ในหลากหลายภูมิภาคทั่วโลก เพื่อตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าตั้งแต่การขับขี่บนท้องถนนจนถึงสนามแข่งขันในระดับโลก
นอกจากนี้ยังเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์และอุปกรณ์เสริมสำหรับช่วงล่างและการซ่อมบำรุงโช้คอัพ เช่น สปริง, น้ำมันโช้ค (Shock Fluid & Fork Fluid), ชุดซ่อม (Repair Kit), ชุดติดตั้ง (Mounting Kit) เป็นต้น
รวมทั้งบริการหลังการขาย อาทิ บริการติดตั้ง ปรับแต่งและตรวจเช็คสภาพผ่านศูนย์ให้บริการของบริษัทฯ และผู้ให้บริการภายนอก (Service Center) และบริการการเคลมสินค้าผ่านศูนย์บริการตัวแทนโดยผู้ให้บริการภายนอก
ทั้งนี้บริษัทแบ่งผลิตภัณฑ์เป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่ 1) กลุ่มผลิตภัณฑ์รถจักรยานยนต์ (MOTO) ผลิตภัณฑ์โช้คอัพสำหรับรถจักยานยนต์ของบริษัทได้รับการออกแบบให้ครอบคลุมการใช้งานของจักรยานยนต์หลากหลายขนาด ตั้งแต่ขนาดเล็กถึงขนาดใหญ่
รวมทั้งครอบคลุมทุกวัตถุประสงค์การใช้งาน ได้แก่ รถจักรยานยนต์ที่ใช้ในการแข่งขัน (Racing Motorcycle) รถจักรยานยนต์ทั่วไป (Road Motorcycle) รถจักรยานยนต์แบบออฟโรด (Offroad Motorcycle) และรถจักรยานยนต์แบบสกู๊ตเตอร์ (Scooter)
2) กลุ่มผลิตภัณฑ์รถยนต์ (AUTO) บริษัทฯ ได้วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์โช้คอัพสำหรับรถยนต์หลากหลายรูปแบบครอบคลุมการใช้งานที่หลากหลาย
ได้แก่ รถยนต์ที่ใช้ในการแข่งขัน (Racing Car) รถยูทีวี หรือ Utility Task Vehicle รถเก๋ง (Passenger Car) รถพีพีวี หรือ Pick-Up Passenger Vehicle และรถกระบะ (Pick-Up)
บริษัทมีช่องทางการจัดจำหน่ายที่หลากหลาย เพื่อให้สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้อย่างทั่วถึง โดยจัดจำหน่ายผ่านตัวแทนจัดจำหน่ายทั้งในและต่างประเทศ (Distributor/ Dealer)
ช่องทางออนไลน์ และช่องทางโชว์รูม โดยบริษัทส่งออกโช้คอัพ YSS ไปยังตัวแทนจำหน่ายกว่า 30 ประเทศทั่วโลก เช่น เยอรมนี อังกฤษ ฝรั่งเศส อิตาลี สเปน ญี่ปุ่น เป็นต้น
ล่าสุดบริษัทได้แต่งตั้ง บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และได้ยื่นแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงาน ก.ล.ต. แล้ว เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2567
เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 160,000,000 หุ้น คิดเป็นร้อยละไม่เกิน 26.67 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัท ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญครั้งนี้
โดยมีแผนนำเงินไปใช้ลงทุนในเครื่องจักรและปรับปรุงกระบวนการผลิต การวิจัย และพัฒนาสินค้าใหม่ ขยายช่องทางการจัดจำหน่ายในหรือต่างประเทศ ใช้ในการลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องอื่นๆ ชำระเงินกู้ยืมสถาบันการเงิน รวมถึงใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน
10 พฤษภาคม 2567
ผู้ชม 54 ครั้ง