สถิติ

70500614

CRG ปักหมุด!ปี67 ตั้งเป้าโต 14% กวาดยอดขาย16,600ลบ.

หมวดหมู่: ตลาด/ไอที

   CRG ปักหมุด!ปี67 ตั้งเป้าโต 14% กวาดยอดขาย16,600ลบ.

   ทุ่ม1,000ลบ.ปูพรม100สาขา-เล็ง!M&A/JVเพิ่ม2แบรนด์ใหม่       

 

   “ซีอาร์จี”(CRG) เดินเครื่องเต็มกำลัง ทุ่มงบ 1,000 ล้านบาท รุกตลาดปี 67 ด้วยแผนยุทธศาสตร์ Empowering EXCELLENCE, Embracing SUSTAINABILlTY ขับเคลื่อนองค์กรเติบโต ชู 4 กลยุทธ์หลัก โกยรายได้เพิ่ม 14% จำนวน 16,600 ล้านบาท

   ปูพรมเปิดสาขาใหม่ไม่น้อยกว่า 100 สาขา พร้อมเดินหน้ากลยุทธ์ M&A และร่วมทุนแบรนด์ใหม่เสริมทัพอีก 2-3 แบรนด์ภายในปีนี้เพิ่มเติม เปิดโอกาสพาร์ตเนอร์ จับมือสร้างความมั่งคั่งไปพร้อมกัน ทะยานสู่ความแข็งแกร่ง และการพัฒนาที่ยั่งยืนในทุกมิติ

   คุณณัฐ วงศ์พานิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด (CRG) เปิดเผย ภาพรวมธุรกิจร้านอาหารในปี 2566 ที่ผ่านมา มีความท้าทายจากสถานการณ์อ่อนไหว และความผันผวนของเศรษฐกิจโลก ส่งผลให้ ซีอาร์จี เติบโต 13% ปิดรายได้ทะลุ 14,500 ล้านบาท

   เปิดสาขาใหม่มากกว่า 140 สาขา ภายใต้ 21 แบรนด์ รวมกว่า 1,600 สาขาทั่วประเทศ โดยที่รายได้จำนวน 2,200 ล้านบาทจากรายได้รวมทั้งหมด มาจากกลยุทธ์ร่วมทุน 2 แบรนด์ใหม่ในปีที่ผ่านมา

   โดยได้มีการนำร่องเปิดตัวร้านอาหาร 2 แบรนด์ใหม่ คือ แบรนด์ นักล่าหมูกระทะ (Nak-La Mookata) ซึ่งเป็นร้านหมูกระทะในห้องแอร์ ใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพและราคาที่เอื้อมถึงได้ง่าย โดยมีการเปิดสาขาแรกที่ MBK Center และได้ขยายสาขาไปที่ The ForRest Phaholyothin รวมถึงสาขาอื่นๆ จนมีทั้งหมด 6 สาขา

   รวมถึงร้านอาหารเกาหลีต้นตำรับ ร่วมกับพาร์ตเนอร์ภายใต้แบรนด์ คีอานิ (KIANI) สาขาเซ็นทรัล พระราม 9 ตอบรับกระแสความนิยมอาหารเกาหลีฟีเวอร์ตลอดกาล

   สำหรับแผนงานในปี 2567 นี้ คาดการณ์ว่าภาพรวมตลาดจะเติบโตอยู่ที่ราว 5-7% มูลค่ารวม 480,000 ล้านบาท โดยที่ทาง CRG ได้ตั้งเป้าการเติบโตรายได้ในปีนี้ที่ 14% หรือยอดขายจำนวน 16,600 ล้านบาท

   ด้วยงบประมาณการลงทุนกว่า 1,000 ล้านบาท โดยการเปิดเครือข่ายสาขาอีกจำนวน 100 สาขา พร้อมทั้งแผนงานการลงทุนเชิงกลยุทธ์ M&A และร่วมทุนกับการเปิดแบรนด์ใหม่อย่างน้อย 2-3 แบรนด์ในปีนี้

   รองรับกับปัจจัยบวกจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ และส่งเสริมการท่องเที่ยวภาครัฐ พฤติกรรมการนั่งรับประทานอาหารในร้านกลับเข้าสู่จุดสมดุล 80% ตลอดจนความนิยมรับประทานอาหารคนเดียวที่เพิ่มขึ้น สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ ที่อยากทดลองร้านอาหารแนวใหม่ หรือเมนูตามกระแสตลอดเวลา

   โดย CRG ได้กำหนดแนวทางขับเคลื่อนธุรกิจในปี 2567 ภายใต้ยุทธศาสตร์ Empowering EXCELLENCE, Embracing SUSTAINABILlTY ด้วย 4 กลยุทธ์หลัก ผลักดันการเติบโตตามเป้าหมาย ประกอบด้วย

   1. GROW : เติบโตด้วยศักยภาพ เน้นการเพิ่มยอดขายจากการเร่งขยายสาขาใหม่ โดยเฉพาะแบรนด์ยอดนิยมในเครือที่มีศักยภาพ เช่น “เคเอฟซี” “อานตี้ แอนส์” “โอโตยะ”คัตสึยะ” “ส้มตำนัว” “สลัดแฟคทอรี่” “ชินคันเซ็น ซูชิ” โดยตั้งเป้าทั้งปี 2567 รวมไม่น้อยกว่า 100 สาขา

   ขณะที่แบรนด์ในเครืออื่นๆ จะเน้นการเพิ่มยอดขายของสาขาเดิม และมุ่งตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ทุกกลุ่มเป้าหมาย ด้วยการออกสินค้ารสชาติใหม่ โปรโมชั่นสุดคุ้มโดนใจ รวมไปถึงวางแผนกลยุทธ์กระตุ้นการขายในบางช่วงเวลา

   2. DRIVE : ขับเคลื่อนสู่เป้าหมาย ภายใต้ 3C Actions ได้แก่ Cost บริหารจัดการต้นทุน และค่าใช้จ่ายต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ลดการใช้พลังงาน, Capex เน้นการลงทุนให้เกิดประโยชน์สูงสุด

   และ Cash Flow การบริหารกระแสเงินสด ตลอดจนการลงทุนให้มีความคล่องตัวมากขึ้น โดย ซีอาร์จี มีแผนเข้าสู่การเป็น Smart Restaurant อย่างเต็มรูปแบบ พร้อมนำเทคโนโลยีมาใช้บริหารจัดการร้านอาหารมากขึ้น ทั้งการสั่งอาหารผ่านคิวอาร์โค้ด (QR Ordering),

   การนำหุ่นยนต์มาให้บริการในร้าน, การนำเครื่องมือใช้วิเคราะห์ลูกค้า (Business Intelligence) เพื่อเข้าใจ และตอบสนองกลุ่มเป้าหมายได้แม่นยำยิ่งขึ้น รวมถึงการวางแผนพัฒนาระบบการเสิร์ฟอาหารผ่านระบบสายพาน เป็นต้น

   3. BUILD : เสริมสร้างความแข็งแกร่ง เล็งเห็นคุณค่าและให้ความสำคัญในกลุ่ม Joint Venture Partner โดยตั้งเป้าขยายมากกว่า 25 สาขา พร้อมเฟ้นหาแบรนด์ที่มีศักยภาพในการเติบโต ร่วมสร้างแบรนด์ดิ้ง เพื่อเสริมความแกร่งให้พอร์ตโฟลิโอ

    ซึ่งตามแผนงานบริษัทตั้งเป้าเพิ่มอีก 2-3 แบรนด์ในปีนี้ ภายใต้ CRG Ecosystem ให้พันธมิตรร่วมกันเติบโตอย่างยั่งยืนไปพร้อมกัน ยกตัวอย่างความสำเร็จบางส่วน

   ในระยะเวลาไม่ถึง 5 ปี “สลัดแฟคทอรี่” มีสาขาเพิ่มขึ้น 33 สาขา เติบโตมากกว่า 200% จากยอดขายเดิม 200 ล้านบาท ก้าวกระโดดเป็น 600 ล้านบาท

   ขณะที่ “ชินคันเซ็น ซูชิ” มีสาขาเพิ่มขึ้น 19 สาขา ในระยะเวลาไม่ถึง 2 ปี และแตกธุรกิจปิ้งย่าง ภายใต้แบรนด์ “นักล่าหมูกระทะ” ซึ่งมีแผนจะเปิดสาขาใหม่เพิ่มเร็วๆ นี้

   รวมไปถึงแบรนด์ “ส้มตำนัว” มีสาขาเพิ่มขึ้น 2 สาขา ยอดขายเติบโต 400% และมีการเปิดร้านรูปแบบใหม่เป็น standalone ที่สาขาราชพฤกษ์ อีกด้วย

   4. EXPEDITE : ผลักดันความยั่งยืนทุกมิติ : หนึ่งในพันธกิจสำคัญด้านความยั่งยืนของ ซีอาร์จี โดยมี C-R-G เป็น 3 แกนหลัก ได้แก่ Care for People & Partner การดูแลบุคลากร และพันธมิตรด้านธุรกิจ

   เปิดกว้างรับความหลากหลายของพนักงานเข้าทำงานทั้งด้านเพศ ผู้สูงอายุ ผู้พิการ เพื่อสร้างความเท่าเทียม การสร้างสมดุลในการทำงานเพื่อให้พนักงานมีความสุข มีความผูกพันกับองค์กร (Engagement) รวมถึงการสนับสนุนด้านการศึกษา

   โดยมอบทุนการศึกษาพนักงานและบุตรพนักงาน และร่วมมือกับสถาบันการศึกษาในโครงการทุนการศึกษาทวิภาคิ เพื่อพัฒนาทักษะวิชาชีพจากการปฏิบัติงานจริงที่สถานประกอบการ ตลอดจนการสร้างประโยชน์ทางธุรกิจร่วมกับพันธมิตรอย่างมีธรรมาภิบาล (Good Governance)

   Reduce Greenhouse Gases มุ่งเน้นให้ความสำคัญเรื่องสิ่งแวดล้อม โดยการประหยัดพลังงาน และการใช้พลังงานทดแทน พร้อมผลักดันให้การบริหารจัดการสิ่งแวดล้อม ภายใต้กรอบแนวคิดจากผู้บริหารสู่การปฏิบัติและลงมือทำของแบรนด์ต่างๆ และปลูกจิตสำนึกให้พนักงานของกลุ่มธุรกิจอาหาร

   โดยในปี 2566 ซีอาร์จี สามารถลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 357.45 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า โดยได้นำพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) มาใช้ในการดำเนินงานในรูปแบบของแผงโซล่าเซลล์

   และสามารถลดปริมาณการใช้พลังงานต่อขนาดพื้นที่ตารางเมตร เมื่อเทียบกับปีก่อน ด้วยการบริหารจัดการแบ่งพื้นที่หรือกั้นโซนการใช้งานภายในร้าน หรือเปิดร้านที่มีขนาดเล็กลง

   Green Waste & Environment ลดปริมาณขยะอาหารที่เกิดจากการใช้วัตถุดิบในกระบวนการผลิตอาหาร บริษัทสามารถควบคุมปริมาณขยะอาหารให้อยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 1% และในปีที่ผ่านมาการบริจาคอาหารส่วนเกินจากการจำหน่าย และการคัดแยกขยะอาหาร

   ยังช่วยลดปริมาณขยะอาหารก่อนนำไปฝังกลบได้ทั้งสิ้น 74,180 กิโลกรัม หรือเท่ากับลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ทั้งสิ้น 187,680 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า

  

   ทั้งนี้ คุณณัฐ ยังได้กล่าวเสริมว่า เพื่อให้เห็นเป็นรูปธรรมอย่างชัดเจน โครงการ CRG Food Waste : Journey to Zero ได้ร่วมมือกับ เซ็นทรัลพัฒนา

   ในโครงการ “ไม่เทรวม” จัดอบรมพนักงานในร้านร่วมกันคัดแยกขยะก่อนนำไปทิ้งฝังกลบ ได้แก่ ขยะอาหารและ ขยะทั่วไป” แยกส่วนนำไปแปรสภาพเป็นอาหารเลี้ยงสัตว์ การทำปุ๋ยชีวภาพ และใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ

   ตลอดจน CRG Surplus Food โครงการส่งมอบอาหารคุณภาพดีส่วนเกินจากการจำหน่าย ให้กับ มูลนิธิสโกลารส์ ออฟ ซัสทีแนนซ์ (ประเทศไทย) หรือ เอสโอเอส ประเทศไทย และมูลนิธิ วีวี แชร์ 

   เพื่อไปบริจาคให้กับผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือด้านอาหาร  ผู้ยากไร้ กลุ่มเปราะบาง โดยเริ่มต้นบริจาคโดนัทจากแบรนด์มิสเตอร์ โดนัท และดำเนินโครงการต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน

   นอกจากนี้ภายในงาน ยังได้เกียรติจาก 2 พันธมิตรสำคัญ ร่วมเปิดเวทีสนทนา SUSTAINABILITY Talkเพื่อสานต่อความร่วมมือขับเคลื่อนความยั่งยืนอย่างต่อเนื่องในอนาคต

   นำโดย คุณอุทัยวรรณ อนุชิตานุกูล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายบริหารความเป็นเลิศและการพัฒนาที่ยั่งยืน บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน)

   และ คุณธนาภรณ์ อ้อยอิสรานุกูล ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการแห่งประเทศไทย  มูลนิธิสโกลารส์ ออฟ ซัสทีแนนซ์ (ประเทศไทย) หรือ เอสโอเอส ประเทศไทย อีกด้วย

   โดย คุณอุทัยวรรณ อนุชิตานุกูล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายบริหารความเป็นเลิศและการพัฒนาที่ยั่งยืน บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การที่ทางเซ็นทรัลพัฒนาได้รับการยอมรับว่าเป็นองค์กรผู้นำด้านความยั่งยืนระดับโลก มีปัจจัยหลักสำคัญส่วนหนึ่งมาจากความร่วมมือที่ดีอย่างยิ่งจากพันธมิตรใน Ecosystem

   โดยเฉพาะ ซีอาร์จี ที่มีเป้าหมายร่วมกัน ในโครงการ Green Partnership พันธมิตรสีเขียว ซึ่งมุ่งดำเนินภารกิจอย่างเข้มข้นใน 2 มิติ ทั้งการประหยัดพลังงาน และการคัดแยกขยะ

   โดยในปี 2566 ที่ผ่านมา ต้องขอบคุณทาง ซีอาร์จี ที่ร่วมขับเคลื่อนโครงการคัดแยกขยะอาหารได้มากถึง 46.63 ตัน นำไปสู่การลดขยะฝังกลบได้ถึง 38% เกินเป้าหมายที่ตั้งไว้

   และเชื่อว่าปี 2567 นี้ ทั้ง 2 องค์กรจะจับมือกันต่อเนื่องไปสู่เป้าหมาย Net Zero ร่วมกัน เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจอย่างยั่งยืนตลอดทั้งห่วงโซ่คุณค่า และสร้าง Better Futures ของทุกคนอย่างแท้จริง

   ด้าน คุณธนาภรณ์ อ้อยอิสรานุกูล ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการแห่งประเทศไทย มูลนิธิสโกลารส์ ออฟ  ซัสทีแนนซ์ (ประเทศไทย) หรือ เอสโอเอส ประเทศไทย กล่าวต่อว่า เอสโอเอส ร่วมมือกับ ซีอาร์จี ภายใต้แบรนด์ มิสเตอร์ โดนัท ตั้งแต่ปี 2563 และประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี

   จนถึงปัจจุบันได้ส่งต่ออาหารส่วนเกินจากการขายกว่า 283,000 มื้อ ไปยังกลุ่มผู้เปราะบางในสังคม ได้แก่ ชุมชนรายได้น้อย กลุ่มองค์กรไม่แสวงหากำไร โรงเรียน และศูนย์เด็กภายใต้สังกัดของรัฐ

   รวมถึงชุมชนในพื้นที่ห่างไกลในต่างจังหวัด เช่น ชุมชนชาติพันธุ์บ้านแพรกตะคร้อ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ หรือ ชุมชนชาติพันธุ์ หมู่บ้านบาเด อ.ท่าสองยาง จ.ตาก เป็นต้น

   โดยปี 2567 นี้ เอสโอเอส มีกระบวนการจัดการ tackle food waste อย่างมีประสิทธิภาพ และถูกต้องตามหลักสุขอนามัย ซึ่งคาดว่าจะได้รับความร่วมมืออย่างดีจาก ซีอาร์จี และพาร์ทเนอร์ในเครือ ร่วมกันสร้างสังคมแห่งการแบ่งปัน และรู้คุณค่าของอาหารภายใต้โครงการรักษ์อาหาร (Food Rescue Program) อย่างสืบเนื่องต่อไป

18 มีนาคม 2567

ผู้ชม 127 ครั้ง

Engine by shopup.com