ABM X AT MOUรุก!ธุรกิจเชื้อเพลิงชีวมวลรับเทรนด์
ABM X AT MOUรุก!ธุรกิจเชื้อเพลิงชีวมวลรับเทรนด์
ABM X AT MOUรุก!ธุรกิจเชื้อเพลิงชีวมวลรับเทรนด์
ขยายตลาดสนองนโยบายรัฐ -ดัน!ยอดขายโตเท่าตัว
“ABM-แอท เอนเนอจีฯ” ลงนาม MOU โครงการ “Energy Transformation” ผนึกกำลังขยายธุรกิจเชื้อเพลิงชีวมวล และเพิ่มศักยภาพทั้งสองบริษัทให้เติบโตอย่างยั่งยืน
ด้าน “ธิญาดา เมฆพงษ์สาทร” พร้อมรุกธุรกิจ Green Transformation สนองนโยบายรัฐใช้พลังงานสะอาดทดแทนการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล หวังช่วยชาติลดโลกร้อน
นางสาวธิญาดา เมฆพงษ์สาทร กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเชีย ไบโอแมส จำกัด (มหาชน) หรือ ABM เปิดเผยว่า ABM และ บริษัท แอท เอนเนอจี โซลูชั่น จำกัด หรือ AT Energy ได้บันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) โครงการ “Energy Transformation” เพื่อแสดงถึงความร่วมกันในการให้บริการลูกค้าที่ติดตั้ง Boiler กับทาง AT Energy
ซึ่งจะเลือกใช้เชื้อเพลิงชีวมวลของ ABM จึงได้จัดทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1. เพื่อเป็นศูนย์กลางในการพัฒนาส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดในกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมอย่างมีประสิทธิภาพ เน้นการเปลี่ยนเชื้อเพลิงฟอสซิลมาสู่กลุ่มเชื้อเพลิงที่เป็น Carbon-Neutral
2. เพื่อร่วมกันส่งเสริมและขยายผลการประยุกต์องค์ความรู้สู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์เชื้อเพลิงชีวมวลให้เหมาะสมกับความต้องการใช้พลังงานของภาคอุตสาหกรรม
3. ศึกษาการนำไปใช้ การรับรองปริมาณ และการแลกเปลี่ยน Carbon-credit เพื่อเตรียมความพร้อมภาคอุตสาหกรรมสู่การเป็น Net-zero Emission และ 4. เพื่อร่วมกันพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งระยะยาวในการเป็นกลุ่มผู้นำธุรกิจเอกชนด้านพลังงานสะอาด
สำหรับกรอบแนวทางของความร่วมมือครั้งนี้ เพื่อสร้างศูนย์กลาง Energy-Transformation โดยใช้ประโยชน์จากความเชี่ยวชาญและเพื่อสร้างความร่วมมือทางด้านพลังงานชีวมวลระหว่างบริษัท เอเชีย ไบโอแมส จำกัด (มหาชน) กับ บริษัท แอท เอนเนอจี โซลูชั่น จำกัด
รวมทั้งสนับสนุนและส่งเสริมด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้านเชื้อเพลิงชีวมวลให้กับโรงงานอุตสาหกรรมที่ บริษัท แอท เอนเนอจี โซลูชั่น จำกัด เข้าไปดำเนินการขายไอน้ำให้ โดยมีระยะเวลาความร่วมมือ 3 ปี ตั้งแต่วันที่ 24 พฤศจิกายน 2565 ถึง วันที่ 23 พฤศจิกายน 2567
“การ MOU ครั้งนี้ จะส่งเสริมให้ทั้งสองบริษัทได้ใช้ความเชี่ยวชาญที่มีให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยจะร่วมมือกันจัดหาแหล่งวัตถุดิบ เพื่อนำมาผลิตและจำหน่ายให้กับลูกค้าได้ตรงตามความต้องการ ซึ่งจะช่วยให้ลูกค้ามีความพึงพอใจสูงที่สุด” นางสาวธิญาดา กล่าวย้ำและเพิ่มเติมว่า
นอกจากนั้นการที่ลูกค้าใช้พลังงานชีวมวลแทนพลังงานถ่านหินจะทำให้ประหยัดต้นทุนพลังงานไปได้กว่า 20-25% จากการผลิต แต่ทั้งนี้ในการปรับเปลี่ยนเครื่องจักรและกระบวนการผลิตนั้นต้องมีการลงทุนเริ่มต้นที่ 30-40 ล้านบาท แต่จะสามารถคืนคืนได้ภายใน 5-7 ปี
ดังนั้นสัญญาซื้อขายพลังงานที่มีกับลูกค้าจึงเป็นระยะยาวที่ 15 ปีขึ้นไป โดยกลุ่มลูกค้าหลักจะเป็นผู้ประกอบการและโรงงานทั่วไปที่แต่ละปีมีการใช้พลังงานถ่านหินปีละ 7-10 ล้านตัน หรือ 50% ของการนำเข้าปีละ 20 ล้านตัน โดยอีก 50% เป็นการนำไปใช้ในอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์เป็นหลัก
อย่างไรก็ตามปัจจุบันรัฐบาลไทยได้ให้ความสำคัญในการแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างจริงจังในการใช้พลังงานสะอาดแก้ปัญหาสภาพอากาศ ลดอุณหภูมิโลกที่เพิ่มสูงขึ้นจากการแพร่กระจายก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์หรือก๊าซเรือนกระจก
ซึ่ง ABM ในฐานะผู้นำในการให้บริการจัดหาและจัดจำหน่ายเชื้อเพลิงชีวมวลหลากหลายประเภทให้กับลูกค้าในอุตสาหกรรมต่างๆ ที่ใช้พลังงานเชื้อเพลิงชีวมวลในกระบวนการผลิตทั้งในและต่างประเทศ
พร้อมสนับสนุนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลที่ก่อผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ที่ประเทศทั่วโลกต่างให้ความสำคัญกับพลังงานหมุนเวียนชนิดอื่นๆ แทนพลังงานฟอสซิล
รวมทั้งสนับสนุน Green Economy ลด Carbon Footprint ตามนโยบายรัฐบาล เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ ด้วยการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy) ซึ่งกำลังเป็นเทรนด์ในขณะนี้
อย่างไรก็ตามที่ผ่านมา ABM ได้กำหนดยุทธศาสตร์การขยายธุรกิจ Green Transformation เพื่อสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาดทดแทนการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล
โดยนำเทคโนโลยีและกลยุทธ์ทางดิจิทัล เข้ามาใช้ในการวางรากฐานเป้าหมายและดำเนินธุรกิจให้กับลูกค้าในปัจจุบันและลูกค้าในอนาคต ที่ต้องการปรับเปลี่ยนการใช้พลังงานสิ้นเปลือง
หรือพลังงานฟอสซิล ได้แก่ น้ำมัน รวมทั้งหินน้ำมัน ทรายน้ำมัน ถ่านหิน และก๊าซธรรมชาติ มาเป็นพลังงานหมุนเวียน หรือพลังงานชีวมวล (Biomass Energy) ซึ่งเป็นพลังงานที่ผลิตได้จากการนำวัสดุชีวมวล มาผ่านกระบวนการแปรรูปจนได้ก๊าซ
นำไปใช้เป็นเชื้อเพลิงเพื่อการผลิตไฟฟ้า ช่วยลดการนำเข้าพลังงานจากต่างประเทศ ลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ลดรายจ่ายให้กับผู้ผลิตและผู้ใช้พลังงานอย่างครอบคลุมแบบครบวงจร นับเป็นการสร้าง New S-curve ของ ABM ที่ชัดเจนตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นไป
ซึ่งจะส่งผลให้การจำหน่ายพลังงานชีวมวลของบริษัทมีการเติบโตเป็นเท่าตัวจากสิ้นปี 2565 นี้ คาดว่าจะอยู่ที่ 600,000-700,000 ตัน โดยจะเพิ่มมาเป็น 1-1.5 ล้านตันในปี 2566
ด้าน นายเกียรติชาย ไมตรีวงษ์ ผู้อำนวยการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) กล่าวว่า ความร่วมมือ (MOU) ระหว่างสองบริษัทครั้งนี้ สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อยุติการใช้ถ่านหินในการผลิตไฟฟ้า
ซึ่งการยุติถ่านหินใน Boiler หรือเตาต่างๆ ในอุตสาหกรรม เป็นการสนับสนุนให้ผู้ที่มี Boiler หรือใช้เชื้อเพลิงเก่าๆ เช่น ถ่านหิน น้ำมัน ฯลฯ หันมาเปลี่ยนเป็นพลังงานเชื้อเพลิงชีวมวล เพื่อเป็นประโยชน์ต่อทั้งตัวมนุษย์โลกและลดความเสี่ยงทางธุรกิจ
“ต้องช่วยกันรณรงค์ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยเฉพาะสาเหตุที่เกิดจากการใช้พลังงานฟอสซิลในการผลิตไฟฟ้า ดังนั้นสิ่งที่ทุกคนต้องร่วมกันทำคือการประหยัดไฟฟ้า ต่อมาคือการคมนาคมขนส่งและควรใช้ดิจิทัลให้มากขึ้น เพื่อลดการใช้พาหนะในการเดินทาง
ถ้าหากจำเป็นก็ควรเลือกใช้รถไฟฟ้า อย่างไรก็ตามภาคอุตสาหกรรมในฐานะที่เป็นผู้ผลิตควรเลือกเชื้อเพลิงที่ถูกต้องที่ไม่ปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น เลือกผลิตเองโดยใช้ Renewable ดูแลเรื่องการแยกขยะ เนื่องจากขยะจะปล่อยก๊าซมีเทนมีสู่ชั้นบรรยากาศ
ในส่วนของด้านของเศรษฐกิจในพื้นที่ของโรงงานก็ควรมีการเพิ่มพื้นที่ของต้นไม้หรือทำโปรเจกต์เพื่อสิ่งแวดล้อม เนื่องจาก Carbon-credit ที่ได้จากการปลูกป่า
สามารถนำมาลบการปล่อยคาร์บอนด์ นำไปสู่ Net Zero ได้ ซึ่งเป็นเป้าหมายของหลายองค์กรในโลกนี้ เช่นเดียวกับการ MOU ระหว่าง ABM และ AT Energy จะเป็นต้นแบบสำคัญในการร่วมมือกันลดโลกร้อนในภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม” นายเกียรติชาย กล่าวสรุป
25 พฤศจิกายน 2565
ผู้ชม 464 ครั้ง