TPIPP รับประโยชน์หลังภาครัฐปรับขึ้นค่า FT
TPIPP รับประโยชน์หลังภาครัฐปรับขึ้นค่า FT
TPIPP รับประโยชน์หลังภาครัฐปรับขึ้นค่า FT
ก้าวสู่โรงไฟฟ้าพลังงานสีเขียว100%ขายCarbon Credit
บริษัท ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ TPIPP รับประโยชน์หลังภาครัฐขึ้นค่าไฟฟ้าผันแปร (ค่า FT) รอบค่าไฟฟ้าเดือน ม.ค.-เม.ย. เป็น 1.39 สตางค์ต่อหน่วย ดันมาร์จิ้นขายไฟฟ้าสูงขึ้น
เดินหน้าตามแผนยุทธศาสตร์ 3-5 ปี ตั้งเป้าเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าเป็น 526 เมกกะวัตต์ ภายในปี 2567 พร้อมเตรียมก้าวสู่การเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานสีเขียว 100%
โดยบริษัทได้กำจัดขยะฝังกลบเพื่อลดก๊าซมีเทนมากว่า 5-6 ปี ส่งผลให้บริษัทเป็นบริษัทที่มี Net Zero Carbon Emission และพร้อมขาย Carbon Credit
นายภัคพล เลี่ยวไพรัตน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายบัญชีและการเงิน TPIPP เปิดเผยว่า ตามที่คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ได้มีมติปรับค่าไฟฟ้าผันแปร (ค่า FT) สำหรับค่าไฟฟ้ารอบเดือนมกราคม-เมษายน 2565 อยู่ที่ 1.39 สตางค์ต่อหน่วย
เพิ่มขึ้น 19.26 สตางค์ต่อหน่วย จากรอบเดือนกันยายน-ธันวาคม 2564 ทำให้ค่าไฟฟ้าขยับเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.63 จากงวดปัจจุบัน ส่งผลให้ TPIPP ได้รับประโยชน์จากการปรับขึ้นค่าเอฟทีดังกล่าว เนื่องจากมีมาร์จิ้นการขายไฟฟ้าสูงขึ้นจากช่วงที่ผ่านมา
ทั้งนี้ TPIPP ยังเดินหน้ามุ่งขยายกำลังการผลิตและลดต้นทุนอย่างต่อเนื่อง ตามแผนยุทธศาสตร์ 3-5 ปี โดยคาดว่าผลประกอบการในปีนี้ยังคงดีต่อเนื่องจากค่า FT ของค่าไฟฟ้าที่ขาย กฟผ. เพิ่มขึ้น 19.26 สตางค์ต่อหน่วย
และการปรับปรุงประสิทธิภาพหม้อต้มน้ำ (Boiler) ทุกหม้อ เพื่อลดต้นทุนการผลิตและการใช้วัตถุดิบของหม้อต้มน้ำถ่านหิน โดยขยะที่ใช้เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่เป็นขยะสด
โดยคาดว่าจะสามารถลดการใช้ถ่านหินได้ 970 ตันต่อวัน ภายในปี 2565 นี้ โดยปัจจัยดังกล่าวจะทำให้บริษัทมีกำไรเพิ่มขึ้น และจากรายได้ Carbon Credit ซึ่งจะสามารถชดเชยค่า Adder ของโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงขยะ ที่จะทยอยหมดอายุในปีนี้
ปัจจุบันบริษัทเป็นบริษัทที่มี Net Zero Carbon Emission และมี Carbon Credit ที่จะขายได้ประมาณ 6.61 ล้านตันต่อปี จากการใช้ขยะในการผลิตไฟฟ้า
นอกจากนี้บริษัทได้เดินหน้าเปลี่ยนแปลงโรงไฟฟ้าถ่านหิน 220 เมกะวัตต์ ในปัจจุบันให้เป็นโรงไฟฟ้าพลังงานสีเขียว 100% โดยจะใช้เชื้อเพลิงขยะแทนเชื้อเพลิงถ่านหิน 100% ได้ในปี 2569 นี้
ส่งผลให้บริษัทจะมี Net Zero Carbon Emission และมี Carbon Credit ที่จะขายได้ประมาณ 12.45 ล้านตันต่อปี ตั้งแต่ปี 2569 เป็นต้นไป และบริษัทอยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อมเพื่อขาย Carbon Credit ดังกล่าว
ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทมีกำไรสูงขึ้นในอนาคต ทั้งนี้ประเทศไทยได้เข้าร่วมประชุมการประชุมสมัชชาประเทศที่เมืองกลาสโกลว์ (COP26) และได้สัญญาที่จะลดการปล่อยคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ในปริมาณ 46 ล้านตันต่อปี ภายในปี 2573
ตามสัญญาที่นายกฯไทยไปให้ไว้ที่ COP26 และจะเป็นประเทศที่มี Carbon Neutral ในปี 2608 โดยตลาดคาร์บอนในประเทศไทยกำลังถูกพัฒนาขึ้นในปัจจุบัน
บริษัทได้ดำเนินธุรกิจที่เติบโตอย่างยั่งยืน ตามนโยบาย ธรรมาภิบาล สิ่งแวดล้อม สังคมและองค์กร (ESG) โดยเล็งเห็นความสำคัญในการลดมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อม ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์อันเป็นการลดภาวะโลกร้อน
และได้ดำเนินธุรกิจสอดคล้องกับนโยบายของภาครัฐ ตอกย้ำศักยภาพบริษัทผู้นำอันดับหนึ่งโรงไฟฟ้าพลังงานสีเขียวที่ช่วยกำจัดขยะให้ประเทศ (Green & Clean Energy)
11 กุมภาพันธ์ 2565
ผู้ชม 456 ครั้ง