สถิติ

71464679

"บริทาเนีย" โชว์ยอดพรีเซลปี 64 สถิติใหม่ 8,300 ลบ.  

   "บริทาเนีย" โชว์ยอดพรีเซลปี 64 สถิติใหม่ 8,300 ลบ.

   รับเปิดตัวโครงการใหม่-ดีมานด์บ้านแนวราบแข็งแกร่ง  

                         

   "บริทาเนีย" หรือ BRI โชว์ยอดพรีเซลปี 64 ทำนิวไฮที่ 8,300 ล้านบาท หลังไตรมาส 4/2564 จัดแคมเปญเปิดตัวที่อยู่อาศัยแนวราบ 6 โครงการใหม่และดีมานด์ที่แข็งแกร่ง

   รวมถึงการแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่ส่งผลให้ผู้บริโภคหันมาเลือกซื้อบ้านเพิ่มขึ้น ประเมินแนวโน้มตลาดในปีนี้มีโอกาสเติบโตต่อเนื่องจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและอสังหาฯ  

   นางศุภลักษณ์ จันทร์พิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) หรือ BRI เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบในช่วงไตรมาส 4/2564 ยังคงมีดีมานด์ที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง แม้มีสถานการณ์ระบาดระลอกใหม่จาก COVID-19 สายพันธุ์โอมิครอน

   โดยในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีที่ผ่านมา บริษัทสามารถทำยอดพรีเซล (ยอดขาย) ได้ตามเป้าหมายที่ 2,012 ล้านบาท ส่งผลให้มียอดพรีเซลรวมในปีที่ผ่านมาสูงกว่า 8,300 ล้านบาท ถือเป็นสถิติสูงสุดใหม่นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท

   ปัจจัยที่สามารถทำยอดพรีเซลได้ดี มาจากการจัดแคมเปญเปิดตัวที่อยู่อาศัยแนวราบ 6 โครงการใหม่ในช่วงไตรมาสสุดท้ายที่ผ่านมา อาทิ โครงการไบรตัน บางปะกง, โครงการบริทาเนีย แพรกษา สเตชั่น ฯลฯ

   ส่งผลให้สามารถทำยอดพรีเซลได้กว่า 500 ล้านบาท ในช่วง 2 วันของการจัดแคมเปญ คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 28% ของยอดพรีเซลทั้งหมดในช่วงไตรมาส 4/2564 เนื่องจากศักยภาพโครงการใหม่ที่ตั้งอยู่ในทำเลที่ดี มีการพัฒนาแบบบ้านและฟังก์ชันที่ตอบโจทย์วิถีชีวิต New Normal

   ประกอบกับสถานการณ์ COVID-19 ทำให้ผู้บริโภคหันมาให้ความสนใจพิจารณาเลือกซื้อที่อยู่อาศัยแนวราบในโครงการบ้านจัดสรรเพิ่มขึ้น รวมถึงภาครัฐได้ผ่อนปรนมาตรการ LTV (Loan to Value) หรือการกำหนดอัตราส่วนการให้สินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน

   “ในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของ COVID-19 พบว่าผู้บริโภคสนใจเลือกซื้อบ้านและทาวน์โฮมเพิ่มขึ้น เนื่องจากตอบโจทย์ผู้อยู่อาศัยที่ต้องการพื้นที่ทำกิจกรรมต่างๆ

   มีระบบรักษาความปลอดภัยที่ดี มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน โดยโครงการของบริทาเนียได้พัฒนาแบบบ้าน ฟังก์ชัน พื้นที่ส่วนกลาง ให้สามารถรองรับความต้องการของผู้บริโภค” นางศุภลักษณ์ กล่าวย้ำและเพิ่มเติมว่า

   ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบันประเมินภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบในปี 2565 ยังมีแนวโน้มเติบโตจากปีที่ผ่านมา โดยได้รับปัจจัยบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ การลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม ภาคการส่งออกที่ปรับตัวดีขึ้น

   และมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ของภาครัฐ เช่น การผ่อนปรนมาตรการ LTV, มาตรการลดหย่อนค่าธรรมเนียมการโอนและค่าจดจำนอง เป็นต้น จะส่งผลให้ผู้บริโภคมีความสามารถในการซื้อบ้านได้เพิ่มขึ้น

   ทั้งนี้จากสถานการณ์ราคาวัสดุก่อสร้างที่ปรับเพิ่มขึ้นและมีความกังวลว่าจะส่งผลกระทบต่อต้นทุนค่าก่อสร้างและความสามารถการทำกำไรของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ อย่างไรก็ตามบริษัทได้มุ่งเน้นการบริหารจัดการซัพพลายเชน

   ตั้งแต่กระบวนการจัดหาวัสดุก่อสร้างจากผู้ผลิตหรือซัพพลายเออร์ในราคาที่สมเหตุสมผล จนถึงการดูแลการก่อสร้างตั้งแต่ต้นจนจบกระบวนการส่งมอบที่อยู่อาศัยแก่ลูกค้า

   “แม้ว่าภาพรวมเศรษฐกิจและสถานการณ์ COVID-19 ในประเทศยังมีความไม่แน่นอน แต่มองว่าภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบในปีนี้ยังมีแนวโน้มเติบโตและมีกำลังซื้ออย่างต่อเนื่อง โดยจะต้องพัฒนาแบบบ้านและฟังก์ชันให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า

ซึ่งบริษัทได้ให้ความสำคัญกับแนวคิด Human Centric เน้นลูกค้าเป็นจุดศูนย์กลาง มุ่งเน้นการศึกษาทำความเข้าใจพฤติกรรมและปัญหาในการอยู่อาศัย และนำสิ่งเหล่านั้นมาวิเคราะห์พัฒนาแบบบ้านที่ปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัย

   มีฟังก์ชันใช้สอยที่สามารถตอบสนองความต้องการและช่วยแก้ไขปัญหาในการอยู่อาศัย รวมถึงมุ่งเน้นคัดเลือกที่ดินในทำเลที่มีศักยภาพ เช่น ติดถนนใหญ่, ใกล้รถไฟฟ้า ทางด่วน สิ่งอำนวยความสะดวก เป็นต้น” นางศุภลักษณ์ กล่าวสรุป

20 มกราคม 2565

ผู้ชม 607 ครั้ง

Engine by shopup.com