สถิติ

71494077

GPSC ชี้ผลงาน 9 เดือนกำไรเพิ่มขึ้น 2%  

   GPSC ชี้ผลงาน 9 เดือนกำไรเพิ่มขึ้น 2%

   สวนQ3/64ต้นทุนเชื้อเพลิงฉุดกำไรลด27%

                              

   GPSC แจ้งผลประกอบการไตรมาส 3/64 มีรายได้ 17,997 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้น 8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และกำไรสุทธิลดลง 27% จากผลกระทบต้นทุนเชื้อเพลิงที่ปรับตัวสูงขึ้น

   อย่างไรก็ตามกำไรสุทธิ 9 เดือนแรก ของบริษัทยังคงเติบโต 2% อยู่ที่ 6,150 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยแนวโน้มไตรมาส 4 ดีมานด์ไฟฟ้าและไอน้ำของลูกค้าอุตสาหกรรมยังคงแข็งแกร่งจากทิศทางเศรษฐกิจที่ตอบรับการเปิดประเทศเพื่อรองรับเทศกาลส่งท้ายปี   

   นายวรวัฒน์  พิทยศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC แกนนำนวัตกรรมธุรกิจไฟฟ้า กลุ่ม ปตท. เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2564 มีรายได้ทั้งสิ้น 17,997 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้ทั้งสิ้น 16,601 ล้านบาท
   ปัจจัยหลักมาจากปริมาณการขายไฟฟ้าและไอน้ำให้แก่กลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น แม้ว่าโรงไฟฟ้าโกลว์ พลังงาน ระยะที่ 5 หยุดเดินเครื่องนอกแผนงาน ตั้งแต่วันที่ 14 สิงหาคม 2564 ที่ผ่านมา

   แต่การหยุดเดินเครื่องดังกล่าวไม่กระทบต่อการขายไฟฟ้าและไอน้ำให้กับลูกค้าอุตสาหกรรมของบริษัท เนื่องจากสามารถส่งมอบไฟฟ้าผ่านระบบโครงข่ายของกลุ่มบริษัท เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าตลอดช่วงระยะเวลาดังกล่าว

   ทั้งนี้เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/2564 มีรายได้ลดลงเล็กน้อย 1% ขณะที่กำไรสุทธิของบริษัทในไตรมาส 3/2564 มีทั้งสิ้น 1,875 ล้านบาท ลดลง 699 ล้านบาท หรือลดลง 27% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง 427 ล้านบาท หรือลดลง 19% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/2564

   สาเหตุมาจากกำไรขั้นต้นของโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก (SPP) ลดลง เนื่องจากได้รับผลกระทบจากราคาก๊าซธรรมชาติและถ่านหินที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นตามกลไกราคาตลาดโลก

   นอกจากนี้บริษัทรับรู้ส่วนแบ่งกำไรของโรงไฟฟ้าไซยะบุรีเพิ่มขึ้น เนื่องจากปริมาณน้ำมากกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้ผลิตไฟฟ้าได้เพิ่มขึ้น ขณะที่ในส่วนกำไรขั้นต้นของโรงไฟฟ้าผู้ผลิตอิสระ (IPP) ปรับตัวลดลงเล็กน้อย เนื่องจากโรงไฟฟ้าเก็คโค่วันได้มีการหยุดเดินเครื่องนอกแผนงาน จำนวน 28 วัน โดยปัจจุบันสามารถกลับมาเดินเครื่องได้ตามปกติแล้ว

   ขณะเดียวกันบริษัทยังมีการรับรู้มูลค่า synergy  ร่วมกับ GLOW  จากการควบรวมกิจการสุทธิหลังภาษี จำนวน 432 ล้านบาท เป็นผลมาจากการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการการผลิตและใช้โครงการข่ายไฟฟ้าและไอน้ำร่วมกัน

   รวมถึงการบริหารเชิงพาณิชย์ด้านต้นทุน การผลิตและการขยายฐานลูกค้า นอกจากนี้ ยังมีส่วนการบริหารด้านการจัดซื้อและงานซ่อมบำรุงรักษาร่วมกัน นับเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพ และสร้างความแข็งแกร่งให้กับ GPSC อย่างต่อเนื่อง

   สำหรับผลการดำเนินงานในรอบ 9 เดือนแรก (ม.ค.-ก.ย. 2564) ของปี 2564 บริษัทมีรายได้จากการดำเนินงานทั้งสิ้น 52,855 ล้านบาท ใกล้เคียงกับรายได้ในช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้ทั้งสิ้น 53,047 ล้านบาท โดยมีกำไรสุทธิ 6,150 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 6,050 ล้านบาท 

   แม้ว่าปี 2564 ประเทศไทยยังคงเผชิญกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 อย่างไรก็ตามบริษัทยังรักษาและพัฒนาขีดความสามารถในการผลิต เพื่อตอบสนองต่อความต้องการใช้ไฟฟ้าและไอน้ำของกลุ่มลูกค้าภาคอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้น ตามทิศทางเศรษฐกิจที่ทยอยฟื้นตัวต่อเนื่อง

   ด้วยมาตรการเข้มข้นสูงสุดในการป้องกันและการบริหารจัดการ ผ่านศูนย์เฝ้าระวังและติดตามการแพร่ระบาดเชื้อไวรัส (GPSC G-COVID Center) และกำหนดพื้นที่ควบคุมพิเศษ พร้อมตั้งทีมปฏิบัติการเฉพาะกิจของแต่ละโรงไฟฟ้า ห้ามบุคคลภายนอกเข้าพื้นที่สำนักงาน และพื้นที่ปฏิบัติการอย่างเข้มงวด

   ส่งผลให้การดำเนินการผลิตไฟฟ้า ไอน้ำ และสาธารณูโภคของบริษัทเป็นไปอย่างมีเสถียรภาพและความมั่นคง ซึ่งสามารถรองรับกับความต้องการใช้พลังงานของประเทศที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น 

   “การเปิดประเทศเพื่อรับนักท่องเที่ยวของไทยและเศรษฐกิจโลกที่เริ่มฟื้นตัว ประกอบกับภาคการผลิตจะเร่งส่งมอบสินค้าเพื่อรองรับช่วงเทศกาลในปลายปี มีแนวโน้มที่ความต้องการไฟฟ้าและไอน้ำจะสูงขึ้นในไตรมาส 4 อย่างไรก็ตามคงต้องติดตามต้นทุนด้านพลังงานที่อาจจะปรับตัวสูงขึ้นประกอบด้วย” นายวรวัฒน์ กล่าวย้ำและเพิ่มเติมว่า

   ทั้งนี้ในระยะยาวบริษัทได้ปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจที่สอดรับกับแผนพลังงานชาติ (National Energy Plan) ที่มุ่งสู่พลังงานสะอาดในการลดภาวะโลกร้อน โดย GPSC มีเป้าหมายที่จะก้าวสู่การเป็นบริษัทชั้นนำด้านนวัตกรรมพลังงานเพื่อความยั่งยืน 1 ใน 3 ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

   ที่มีสัดส่วนของพลังงานสะอาดมากกว่า 50% ผ่าน 4 กลยุทธ์หลักหรือ 4S ประกอบด้วย S1: Strengthen and Expand the Core  S2: Scale–up Green Energy  S3: S-Curve & Batteries และ S4: Shift to Customer–centric Solutions 

   โดยล่าสุดบริษัทได้ลงนามในความร่วมมือกับ บริษัท ผลิตไฟฟ้าและพลังงานร่วม จำกัด (CHPP) บริษัทย่อยที่บริษัทถือหุ้น 100% ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM Bank) องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์กรมหาชน) (TGO) และบริษัท นีโอคลีน เอ็นเนอยี่ จำกัด (NEO)

   เพื่อดำเนินโครงการสนับสนุนการลงทุนติดตั้งพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Rooftop) และการขึ้นทะเบียนคาร์บอนเครดิตภายใต้โครงการ Solar Orchestra ที่จะสนับสนุนให้ผู้ประกอบการเข้ามาลงทุน Solar Rooftop

   และขึ้นทะเบียนโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย หรือโครงการ T-VER  และการรับรองปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ลดได้ ที่เรียกว่า คาร์บอนเครดิต

   ซึ่งสามารถนำคาร์บอนเครดิตไปใช้ในการแลกเปลี่ยนซื้อขายได้ โดยตั้งเป้าหมายการติดตั้ง Solar Rooftop กว่า 100 เมกกะวัตต์ ในรูปแบบของสัญญาผู้รับเหมาออกแบบและก่อสร้าง (EPC) ให้แก่ลูกค้า ภายในสิ้นปี 2565

07 พฤศจิกายน 2564

ผู้ชม 795 ครั้ง

Engine by shopup.com