"DDD" ชูกลยุทธ์"Fit for Growth"ฝ่าวิกฤติโควิด-19
"DDD" ชูกลยุทธ์"Fit for Growth"ฝ่าวิกฤติโควิด-19
"DDD" ชูกลยุทธ์"Fit for Growth"ฝ่าวิกฤติโควิด-19
ลดค่าใช้จ่าย-รุกออนไลน์-รองรับแผนเติบโต 20-30%
“DDD” เดินหน้ากลยุทธ์ “Fit for Growth” สร้าง “Synergy” เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ลดต้นทุนค่าใช้จ่ายโดยรวม รองรับการโตต่อ ดันกำไรไตรมาส4/64 เป็นบวก เชื่อทั้งปีมียอดขายเติบโตตามเป้า 20-30%
นางสาวนันทวรรณ สุวรรณเดช กรรมการ รองประธานกรรมการบริหาร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดู เดย์ ดรีม จำกัด (มหาชน) หรือ DDD เปิดเผยว่า บริษัทได้ดำเนินการตามกลยุทธ์ “Fit for Growth” ที่ประกาศไว้ช่วงต้นปี โดยมุ่งปรับระบบการบริหารเพื่อให้เกิดการทำงานร่วมกัน (Synergy) อย่างต่อเนื่อง
ทั้งการย้ายรวมคลังสินค้าของกลุ่มธุรกิจมาไว้ในที่เดียวกัน เพื่อเป็นการลดค่าเช่า ค่าแรงงาน และค่าขนส่ง ทำให้การบริหารจัดการงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งแผนการย้ายรวมคลังสินค้านั้น บริษัทจะใช้คลังสินค้าของคิวรอน ที่ถนนศรีนครินทร์ เป็นศูนย์กลางในการจัดเก็บสินค้าของแต่ละแบรนด์
สำหรับความคืบหน้าของการย้ายรวมคลังสินค้าดังกล่าว ปัจจุบันเริ่มเป็นรูปธรรมมากขึ้นแล้ว และคาดว่าจะเริ่มเห็นผลการลดค่าใช้จ่ายในส่วนของคลังสินค้าและค่าขนส่งตั้งแต่ปลายไตรมาส 3
และเห็นผลชัดเจนขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 4 ของปี 2564 เป็นต้นไป และเชื่อว่าในช่วงสัญญาการเช่าคลังที่เหลืออยู่ จะลดค่าใช้จ่ายรวมลงจากเดิมไปได้ 38-40 ล้านบาท
ทั้งนี้ยังมีแผนลดค่าใช้จ่ายการขายและการตลาดที่ไม่ส่งผลต่อยอดขายโดยตรง เช่น การปรับงบประมาณการตลาดจากสื่อดั้งเดิมเป็นสื่อดิจิทัล รวมถึงการเริ่มเอาผลิตภัณฑ์ของบริษัทอย่าง ยาสีฟันสปาร์คเคิล มาผลิตที่โรงงานของบริษัท โดยจะเริ่มตั้งแต่ไตรมาส 3 ปี 2564 เป็นต้นไป
ซึ่งจะช่วยทำให้ต้นทุนผลิตต่อหน่วยโดยเฉลี่ยลดลง พร้อมกันนี้บริษัทอยู่ระหว่างการนำระบบ ERP ใหม่ (Enterprise Resource Planning) เข้ามาใช้ในองค์กร เพื่อช่วยในการมองเห็น การวิเคราะห์ข้อมูลของแต่ละกลุ่มธุรกิจให้มีประสิทธิภาพและเป็นระบบเดียวกันมากขึ้น
พร้อมรองรับการเติบโตในอนาคต, การบริหารจัดการระบบ Supply Chain ตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ โดยบริษัทพยายามที่จะนำหน่วยงานหลักของแต่ละกลุ่มธุรกิจทำให้เป็นศูนย์รวมกันเดียวกัน หรือทีมเดียวกัน เพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายต่างๆลงไปได้
นอกจากนี้ นางสาวนันทวรรณ ยังได้กล่าวถึงแผนการขยายธุรกิจของกลุ่มบริษัทว่า บริษัทกำลังอยู่ระหว่างกระบวนการเข้าซื้อกิจการ ที่น่าจะมีความชัดเจนมากขึ้นในไตรมาส 4 ส่วนแผนการขยายช่องทางการขาย
บริษัทจะเน้นช่องทางขายผ่านออนไลน์มากขึ้น หลังจากพบว่าในช่วงที่ผ่านมา สัดส่วนรายได้จากการขายออนไลน์ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนการเข้าสู่ช่องทางการขายใหม่ๆเพิ่มเติม เพื่อให้ครอบคลุมกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย
รวมถึงส่งเสริมยอดขายให้เติบโตมากขึ้น เช่นการทำ Live stream เป็นต้น อีกทั้งยังได้มุ่งเน้นให้พนักงานทุกคนมีความคิดและมีเป้าหมายร่วมกันในเรื่องของยอดขาย (Employee Engagement)
ด้วยการซื้อสินค้ากับบริษัทเพื่อนำไปจำหน่ายเพื่อสร้างรายได้ให้กับตัวพนักงานเพิ่ม ซึ่งการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีร่วมกันกับพนักงาน (Engagement) นี้จะทำให้บริษัทมีฐานลูกค้าใหม่มากขึ้นด้วย
ด้านการทำตลาดต่างประเทศบริษัทจะมีการเพิ่มจุดขายในประเทศฟิลิปปินส์ และการเตรียมแต่งตั้งตัวแทนกระจายสินค้าในประเทศกัมพูชา ทั้งนี้จากแผนธุรกิจทั้งหมดทั้งในประเทศและต่างประเทศ
บริษัทเชื่อว่าจะมีส่วนช่วยให้ผลการดำเนินงานในไตรมาส 4 ปี2564 เริ่มเห็นกำไรเป็นบวกอย่างแน่นอน ส่วนเป้าหมายรายได้จากขายทั้งปีบริษัทยังมั่นใจว่า จะเติบโตอยู่ที่ 20-30%
15 กันยายน 2564
ผู้ชม 343 ครั้ง