"เงินติดล้อ"์ นอนแบงก์รายแรกในไทย
"เงินติดล้อ"์ นอนแบงก์รายแรกในไทย
"เงินติดล้อ"์ นอนแบงก์รายแรกในไทย
รับสินเชื่อ IFC 3,000 ลบ.ฟื้นSME-รายย่อย
ธุรกิจขนาดเล็กต่าง ๆ จะสามารถเข้าถึงความช่วยเหลือทางการเงินมากขึ้น ด้วยการให้สินเชื่อเป็นครั้งแรกของ IFC ในสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร (NBFI) ในประเทศไทย คือ บริษัท เงินติดล้อ จำกัด (มหาชน) (TIDLOR)
โดยการให้สินเชื่อของ IFC ครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว โดยการส่งเสริมการเติบโตของธุรกิจ การเสริมสร้างการจ้างงาน และการส่งเสริมการเข้าถึงบริการทางการเงิน
การสนับสนุนทางการเงินของ IFC ในรูปแบบของสินเชื่อ มีจำนวนสูงถึง 100 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 3,000 ล้านบาท) ซึ่งจะช่วยให้ TIDLOR สามารถเพิ่มปริมาณการปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ประกอบธุรกิจขนาดกลาง ขนาดย่อมและรายย่อย (MSMEs) ในประเทศได้
โดย IFC จะช่วยให้ TIDLOR สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่หลากหลายจากนักลงทุนต่างประเทศ และสนับสนุนบริษัทในการยกระดับกรอบการบริหารความเสี่ยงด้านเครดิตของตนเอง
ทั้งนี้ผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางขนาดย่อมและ รายย่อย (MSMEs) คิดเป็นร้อยละ 86 ของแรงงานในประเทศไทย และคิดเป็นร้อยละ 45 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP)
ก่อนเกิดโรคโควิด-19 ธุรกิจเหล่านี้ยังขาดการเข้าถึงทางการเงินประมาณ 41,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งคิดเป็น 10.3% ของ GDP ของประเทศ และต้องเผชิญกับความท้าทายมากมายจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
อาทิ การยกเลิกคำสั่งซื้อ ยอดขายที่ลดลง ห่วงโซ่อุปทานที่หยุดชะงัก และการขาดแคลนเงินทุนหมุนเวียน อีกทั้งการปล่อยสินเชื่อให้แก่ผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย ของธนาคารยังมีความเข้มงวดขึ้น จากอัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ที่สูงขึ้น
“ท่ามกลางวิกฤติที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน การให้สินเชื่อของ IFC จะช่วยให้ TIDLOR ซึ่งเป็นบริษัทที่ถือหุ้นโดยธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) (BAY) มีความแข็งแกร่งด้านเงินทุนมากยิ่งขึ้น
และสามารถดำเนินการตามกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นการเข้าถึงบริการทางการเงินผ่านช่องทางดิจิทัลและการใช้ข้อมูลมากขึ้นในการให้สินเชื่อ” นายปิยะศักดิ์ อุกฤษฎ์นุกูล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เงินติดล้อ จำกัด (มหาชน) กล่าวย้ำ
Jane Xu ผู้จัดการ IFC ประจำประเทศไทยและเมียนมาร์ กล่าวว่า สถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร (NBFI) ส่วนใหญ่ยังมีขนาดเล็ก คิดเป็นสัดส่วนน้อยกว่าร้อยละ 5 ของสินทรัพย์รวมของระบบการเงินของประเทศไทย
สาเหตุหลักนั้นมาจากสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคารเหล่านั้น ไม่สามารถรับเงินฝาก ขาดแหล่งเงินทุนที่หลากหลาย โดยมีเป้าหมายการให้สินเชื่อแก่แรงงานนอกระบบ ผู้ประกอบการรายย่อย และผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ที่ไม่มีสินทรัพย์ถาวรมาค้ำประกันและถูกมองว่ามีความเสี่ยงสูง
“เพื่อให้สอดคล้องกับความสำคัญเชิงกลยุทธ์ของ IFC ในประเทศไทย การให้สินเชื่อของ IFC จะช่วยเพิ่มบริการทางการเงินที่เข้าถึงได้ สะดวก และเหมาะสมสำหรับผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการส่งเสริมการจ้างงานและการพัฒนาที่ยั่งยืน” Jane Xu กล่าวย้ำและเพิ่มเติมว่า
การสนับสนุนของ IFC จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนต่างชาติที่มีศักยภาพ ในขณะเดียวกันก็จะส่งผลต่อการแข่งขันของคู่แข่งและเร่งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศไทย
ทั้งนี้ IFC เป็นผู้สนับสนุนทางการเงินและการให้คำปรึกษาเพื่อส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนในภาคเอกชนของประเทศไทย ณ เดือนมิถุนายน 2564 IFC ได้มีการลงทุนเป็นจำนวนสูงถึง 875 ล้านเหรียญสหรัฐ
25 สิงหาคม 2564
ผู้ชม 1347 ครั้ง