สถิติ

66710969

เงินติดล้อ เคาะราคา IPO 34.00–36.50 บาทต่อหุ้น

   เงินติดล้อ เคาะราคา IPO 34.00–36.50 บาทต่อหุ้น

   แบไต๋!กลยุทธ์ M&A โต-สยายปีก!ภูมิภาคอาเซียน

                   

   นายปิยะศักดิ์ อุกฤษฎ์นุกูล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เงินติดล้อ จำกัด (มหาชน) หรือ "TIDLOR"  เปิดเผยว่า "เงินติดล้อ" ได้เตรียมเสนอขายหุ้น IPO ขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาของหุ้นในกลุ่มธุรกิจเงินทุนและหลักทรัพย์ กำหนดช่วงราคาเสนอขายเบื้องต้นที่ 34.00–36.50 บาทต่อหุ้น พร้อมให้สิทธิพนักงานของเงินติดล้อกว่า 5,000 คนมีโอกาสจองซื้อหุ้นที่ราคา IPO 

   โดยเปิดโอกาสให้นักลงทุนรายย่อยที่สนใจร่วมเป็นเจ้าของและเติบโตไปกับเงินติดล้อ สามารถจองซื้อหุ้น TIDLOR ผ่านช่องทางออนไลน์ของตัวแทนจำหน่ายหุ้นทั้ง 3 รายในวันที่ 22–26 เมษายน 2564 นี้ กำหนดจองซื้อขั้นต่ำ 1,000 หุ้นที่ราคาเสนอขายสุงสุดที่ 36.50 บาทต่อหุ้น

   ทั้งนี้นักลงทุนรายย่อยที่สนใจสามารถจองซื้อหุ้น TIDLOR ได้ตั้งแต่เวลา 09.00 น. ของวันที่ 22 เมษายน 2564 ถึง เวลา 16.00 น. ของวันที่ 26 เมษายน 2564 ผ่านช่องทางออนไลน์ของตัวแทนจำหน่ายหุ้น 3 ราย

   ได้แก่ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (สำหรับบุคคลที่เป็นลูกค้าของบริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) เท่านั้น) ตามเวลา วิธีการและเงื่อนไขการจองซื้อที่ตัวแทนจำหน่ายหุ้นแต่ะรายกำหนด

   โดยจะใช้วิธีจัดสรรหุ้นแบบ Small Lot First โดยทีมผู้บริหารชูจุดแข็งด้วยโมเดลธุรกิจที่เป็นเอกลักษณ์ มุ่งเน้นการขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมทางเทคโนโลยีที่ไม่หยุดนิ่งรับยุคดิจิทัล เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีและความสะดวกแก่ลูกค้าผ่านช่องทางการให้บริการที่หลากหลาย

   พร้อมชี้ผลประกอบการที่แข็งแกร่งผ่านยอดสินเชื่อและเบี้ยประกันวินาศภัยที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ภายใต้การบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ ตอกย้ำการเป็นผู้นำธุรกิจสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน และหนึ่งในผู้นำธุรกิจนายหน้าประกันภัยเพื่อรายย่อยในประเทศไทย

   นายปิยะศักดิ์ กล่าวต่อไปว่า การเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) และการนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ถือเป็นก้าวสำคัญที่จะเสริมความแข็งแกร่งแก่เงินติดล้อ โดยการเสนอขายหุ้น IPO ครั้งนี้ มีจำนวนทั้งสิ้นไม่เกิน 907,428,600 หุ้น

   ประกอบด้วย 1) การเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนโดยบริษัทไม่เกิน 210,816,700 หุ้น 2) หุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดยธนาคารกรุงศรีอยุธยา ไม่เกิน 284,144,300 หุ้น

   และ 3) หุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดย Siam Asia Credit Access Pte. Ltd. ไม่เกิน 412,467,600 หุ้น คิดเป็นสัดส่วนรวมกันไม่เกินร้อยละ 39.1 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัท ภายหลังการออกและเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนเป็นครั้งแรก

   นอกจากนี้อาจจัดสรรหุ้นส่วนเกิน (Greenshoe หรือ Over-allotment Option) ไม่เกิน 136,114,200 หุ้น หรือไม่เกินร้อยละ 15.0 ของจำนวนหุ้นที่เสนอขายทั้งหมด

   เพื่อเสริมสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุนและช่วยรักษาเสถียรภาพของราคาหุ้นที่เสนอขายครั้งแรกภายในเวลา 30 วัน นับจากวันแรกที่เข้าซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยได้กำหนดช่วงราคาเสนอขายเบื้องต้นที่ 34.00 – 36.50 บาทต่อหุ้น

   เมื่อพิจารณาจากความสนใจในการลงทุนอย่างล้นหลามจากนักลงทุนสถาบันชั้นนำทั่วโลก โดยเงินติดล้อและผู้ถือหุ้นเดิมที่เสนอขายหุ้นสามัญในครั้งนี้ได้ร่วมลงนามในสัญญาลงทุนในหุ้นกับนักลงทุนสถาบันคุณภาพที่มีชื่อเสียงทั้งในประเทศไทยและในต่างประเทศ

   ที่เป็น Cornerstone Investors รวม 32 ราย โดยคิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 22,800 ล้านบาทที่ราคา 36.50 บาท ซึ่งเป็นราคาสูงสุดของช่วงราคาเสนอขายหุ้นเบื้องต้น หรือคิดเป็นประมาณ 69.0% ของจำนวนหุ้นที่เสนอขายในครั้งนี้ (ไม่รวมการจัดสรรหุ้นส่วนเกิน)

   โดย IPO ของหุ้น TIDLOR จะมีมูลค่าการเสนอขายรวมไม่เกิน 35,481 – 38,090 ล้านบาท (รวมการจัดสรรหุ้นส่วนเกิน) ซึ่งนับเป็น IPO ของหุ้นในหมวดธุรกิจเงินทุนและหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าเสนอขายสูงที่สุด 5 อันดับแรกในประวัติศาสตร์ตลาดทุนไทย

   ทั้งนี้ Cornerstone Investors ของ TIDLOR ประกอบด้วยนักลงทุนสถาบันที่มีชื่อเสียงระดับโลก เช่น FIL Investment Management, JP Morgan Asset Management, Lion Global Investors Limited, Neuberger Berman เป็นต้น

   รวมถึงนักลงทุนสถาบันชั้นนำในประเทศไทย ได้แก่ บลจ. บัวหลวง บลจ. กสิกรไทย บลจ. ไทยพาณิชย์ บลจ. เอไอเอ (ประเทศไทย) บลจ. กรุงไทย บลจ. เอ็มเอฟซี เป็นต้น

   โดยในการเสนอขายหุ้นสามัญของเงินติดล้อในครั้งนี้ มีบริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายร่วม

   รวมทั้งมีผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายประกอบด้วย บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบีเอสที จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) จำกัด

   โดยบริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) จะทำหน้าที่เป็นผู้จัดหาหุ้นส่วนเกินและดำเนินการรักษาเสถียรภาพของราคาหุ้น (Overallotment and Stabilizing Agent)

   นายปิยะศักดิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งนี้ เงินติดล้อ ได้วางกลยุทธ์รักษาความเป็นผู้นำธุรกิจสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน ผ่านการขยายเครือข่ายอีกประมาณ 500 แห่งภายในปี 2566 เพิ่มตัวแทนและพนักงานขายทางโทรศัพท์ และการลงทุนด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี

   พัฒนาแพลตฟอร์มทางการเงินและเปลี่ยนผ่านกระบวนต่างๆ สู่ดิจิทัล (Digital Transformation) โดยการลงทุนอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างประสบการณ์ซื้อสินค้าและบริการจากหลากหลายช่องทางแก่ลูกค้า พร้อมสร้างความแข็งแกร่งให้แพลตฟอร์มนายหน้าประกันภัยและมุ่งสู่การเป็นนายหน้าประกันภัยชั้นนำของประเทศไทย

   นอกจากนี้ เงินติดล้อ ยังมองหาโอกาสในการสร้างการเติบโตจากการควบรวมธุรกิจหรือการเข้าซื้อกิจการในเชิงกลยุทธ์ เพื่อขยายผลิตภัณฑ์และการให้บริการ และพัฒนาศักยภาพทางเทคโนโลยี ทั้งในประเทศและตลาดอื่นในภูมิภาคอาเซียนหากมีโอกาสที่เหมาะสม

  

   นางสาวภคมน ตุลยาพิศิษฐ์ชัย ผู้อำนวยการอาวุโส แผนก Digital Transformation กล่าวว่า เงินติดล้อ ให้ความสำคัญกับการนำนวัตกรรมทางเทคโนโลยีเข้ามาปรับใช้เพื่อเปลี่ยนผ่านสู่ระบบดิจิทัล อาทิ โปรแกรมถามตอบอัตโนมัติ (Chatbot),

   กระบวนการทำงานอัตโนมัติโดยหุ่นยนต์ (Robotic Process Automation), ระบบการแสดงสถานะ (Dashboard) แบบเรียลไทม์ เป็นต้น เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีแก่ลูกค้า ช่วยลดอัตราการเพิ่มบุคลากร และเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน

   ส่งผลให้เงินติดล้อมีลูกค้าที่ทำธุรกรรมผ่านช่องทางดิจิทัลเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยมีลูกค้าชำระเงินกู้และค่างวดเบี้ยประกันรถยนต์ทางออนไลน์กว่า 1.1 ล้านรายการ ในปี 2563 ที่ผ่านมา

   และเว็บไซต์ของเงินติดล้อมีการเข้าถึงมากกว่า 3 เท่าของผู้ให้บริการรายอื่นในธุรกิจใกล้เคียง ระยะเวลาช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2562 ถึงเดือนกรกฎาคม 2563

   นอกจากนี้เงินติดล้อยังได้พัฒนาแพลตฟอร์มอารีเกเตอร์ (Areegator) ซึ่งสามารถเข้าถึงได้โดยบริษัทประกันวินาศภัยที่เป็นคู่ค้า 16 ราย ทำให้ลูกค้าสามารถเปรียบเทียบเบี้ยประกันภัยและความคุ้มครองเพื่อตอบสนองความต้องการเฉพาะของลูกค้าแต่ละราย

   เพื่อให้นายหน้าประกันภัยอิสระสามารถเข้าถึงคู่ค้าบริษัทประกันภัยของเงินติดล้อ เพื่อความสะดวกและยังสามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์ประกันภัยให้กับลูกค้าได้อย่างมีมาตรฐาน และหลากหลายทางเลือก

   นายวีรภัทร์ วิริยะโกวิทยา ผู้บริหารระดับสูงฝ่ายบัญชีและการเงิน เปิดเผยว่า ธุรกิจสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกันของเงินติดล้อมีการเติบโตอย่างแข็งแกร่งโดยมียอดสินเชื่อคงค้าง ณ สิ้นปี 2561 2562 และ 2563

   อยู่ที่ 39,724.1 ล้านบาท 47,979.4 ล้านบาท และ 51,331.2 ล้านบาท ตามลำดับ และมีการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วภายหลังเกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในปีที่ผ่านมา

   ขณะที่ธุรกิจนายหน้าประกันภัยมีการเติบโตอย่างรวดเร็วและเป็นแรงผลักดันมูลค่าและการเติบโตที่สำคัญ โดยเงินติดล้อมีค่าเบี้ยประกันวินาศภัยที่ขายได้ ณ สิ้นปี 2561 2562 และ 2563 อยู่ที่ 1,917.7 ล้านบาท 2,854.3 ล้านบาท และ 4,010.9 ล้านบาท ตามลำดับ

   ด้วยอัตราเติบโตร้อยละ 48.8 และ ร้อยละ 40.5 ในปี 2562 และ 2563 ตามลำดับ นอกจากนี้ยังมีแหล่งเงินทุนที่หลากหลายและมีต้นทุนทางการเงินที่ต่ำจากการได้รับการจัดอันดับเครดิตโดย Tris Rating ในระดับ A- ซึ่งสูงกว่าผู้ให้บริการรายอื่น

   ในส่วนของการบริหารความเสี่ยงมีนโยบายการตั้งสำรองที่รัดกุม มีอัตราส่วน NPL Coverage สูงถึงร้อยละ 325.1 และสามารถรักษาอัตราส่วน NPL ให้อยู่ในระดับต่ำที่ร้อยละ 1.7 ณ สิ้นปี 2563

   ทั้งหมดนี้ส่งผลให้เงินติดล้อมีภาพรวมผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยระหว่างปี 2561 – 2563 มีรายได้รวม 7,569.4 ล้านบาท 9,457.9 ล้านบาท และ 10,558.9 ล้านบาท ตามลำดับ

   และมีกำไรสุทธิ 1,306.2 ล้านบาท 2,201.7 ล้านบาท และ 2,416.1 ล้านบาท ตามลำดับ โดยมีอัตราเติบโตเฉลี่ยต่อปีของกำไรสุทธิอยู่ที่ร้อยละ 36.0 ในช่วงเวลาเดียวกัน

   

17 เมษายน 2564

ผู้ชม 713 ครั้ง

Engine by shopup.com