สถิติ

66694862

"ลลิล พร็อพเพอร์ตี้" ลั่น!ปี 64รายได้ 6,000 ลบ.    

   "ลลิล พร็อพเพอร์ตี้" ลั่น!ปี 64รายได้ 6,000 ลบ.

   ปูพรม!10-12โครงการเจาะแนวราบราคา5-8ลบ. 

                 

   ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ลลิล พร็อพเพอร์ตี้  มีผลการดำเนินงานที่เติบโตโดดเด่นกว่าภาพรวมของอุตสาหกรรม ต่อเนื่องมาโดยตลอด สำหรับในปี 2564 นี้ แม้จะเป็นอีกปีที่ภาวะแวดล้อมไม่เอื้ออำนวย แต่บริษัทยังคงเชื่อมั่น และวางเป้าหมายเติบโตอย่างต่อเนื่อง

   พร้อมเดินหน้าขยายธุรกิจ มุ่งสู่การเป็น National Housing Company และเป็นผู้นำของตลาดแนวราบในช่วงราคา 2–8 ล้านบาท ครอบคลุมในทุกทำเลศักยภาพ โดยตั้งเป้าเป็นแบรนด์ในสามลำดับแรก ที่ผู้บริโภคจะต้องนึกถึงเมื่อมองหาที่อยู่อาศัยแนวราบในช่วงราคาดังกล่าว

   สำหรับผลประกอบการปี 2563 เป็นอีกปีที่บริษัทสามารถทำผลงานได้ดีกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ และเติบโตได้สูงกว่าภาวะอุตสาหกรรมโดยรวมอย่างต่อเนื่อง  แม้จะเป็นปีที่เศรษฐกิจทั่วโลกและไทยได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง จากการระบาดของ COVID-19  

   แต่สำหรับ ลลิลฯ ซึ่งเน้นกลุ่มลูกค้าที่เป็น Real Demand ตลอดจนมีการทำการวิจัย และตลาดเชิงลีก เพื่อหา Customer Insights โดยพัฒนาและนำเสนอสินค้าในทำเลศักยภาพ

   เพื่อตอบสนองความต้องการที่แท้จริงของลูกค้า จึงช่วยให้บริษัทเป็นเพียงไม่กี่บริษัทที่ยังคงมีทั้งยอดขาย ยอดรับรู้รายได้ และกำไร ที่เติบโตในปี 2563 

   โดยบริษัทสามารถทำยอดรับรู้รายได้ได้สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยมียอดรับรู้ทั้งปีที่ 5,765 ล้านบาท เติบโตขึ้น 24.2%  ในขณะที่มีกำไรสุทธิที่ 1,333.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 49.5%

   ในส่วนของเป้าหมายธุรกิจในปี 2564  บริษัทตั้งเป้าเปิดโครงการใหม่ทั้งสิ้น 10–12 โครงการ  มูลค่าโครงการรวม 6,000 – 7,000 ล้านบาท และตั้งเป้ายอดขายที่ 7,000 ล้านบาท  ยอดรับรู้รายได้ที่ 6,000 ล้านบาท โดยวางงบซื้อที่ดินไว้ที่ 1,000–1,200 ล้านบาท

   นายไชยยันต์ ชาครกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) (LALIN) เปิดเผยว่า สำหรับในปี 2564 นี้ คาดว่าเศรษฐกิจโดยรวมของไทยจะขยายตัวได้ราว 3% บวกลบ ทั้งนี้ขึ้นกับการกระจายวัคซีนให้ประชาชนในวงกว้างทำได้รวดเร็วเพียงใด แม้ภาคอสังหาฯ ในปี 2564 จะต้องเผชิญปัจจัยลบหลายปัจจัย

   ไม่ว่าจะเป็นกำลังซื้อภายในประเทศที่ยังอ่อนตัวตามภาวะเศรษฐกิจ ระดับหนี้ครัวเรือนที่ปรับสูงขึ้น ความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์

   อย่างไรก็ดีภาคอสังหาฯ มีปัจจัยสนับสนุนจากมาตรการภาครัฐที่ได้มีการต่ออายุมาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอน และค่าธรรมเนียมจำนอง สำหรับที่อยู่อาศัยที่ราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทออกไปจนถึงสิ้นปี 2564  

   รวมถึงสินค้าแนวราบยังได้รับปัจจัยหนุนจาก New Normal ที่ผู้บริโภคบางส่วนปรับเปลี่ยนพฤติกรรมจากที่เคยต้องการซื้อที่อยู่อาศัยแนวสูง มาซื้อที่อยู่อาศัยแนวราบซึ่งมีพื้นที่ใช้สอยมากกว่า สามารถตอบโจทย์การอยู่อาศัยได้จริงกว่า  

   ทั้งนี้แม้สภาวะตลาดจะไม่เอื้อมากนัก แต่บริษัทยังมีความเชื่อมั่นว่าจะสามารถดำเนินธุรกิจให้เติบโตได้ต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าหมายยอดขายไว้ที่ 7,000 ล้านบาท และยอดรับรู้รายได้ที่ 6,000 ล้านบาท  

                              

   นายชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) (LALIN) กล่าวว่า ทิศทางการดำเนินธุรกิจของบริษัทในปี 2564 นี้ จะยังคงให้ความสำคัญกับตลาดที่อยู่อาศัยในกลุ่มแนวราบ ที่เป็น Real Demand โดยมีแผนขยายโครงการใหม่ทั้งในทำเลใหม่ๆ ที่มีศักยภาพ ตลอดจนเป็นการเปิดโครงการใหม่เพื่อทดแทนโครงการเดิมของบริษัทที่กำลังจะปิดโครงการลง   

   โดยในปี 2564 นี้ มีแผนเปิดโครงการใหม่ทั้งสิ้น 10 – 12 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 6,000 – 7,000 ล้านบาท โดยตั้งเป้าหมายยอดขายไว้ที่ 7,000 ล้านบาท และยอดรับรู้รายได้ที่ 6,000 ล้านบาท ซึ่งเติบโตขึ้นราว 7% จากในปี 2563   

   ทั้งนี้เตรียมที่จะเปิดโครงการบ้านเดี่ยวหรู รูปแบบใหม่ ภายใต้แบรนด์ บ้านลลิล The Prestige ซึ่งเป็นออกแบบในสไตล์ French Colonial ระดับราคาจะอยู่ในช่วง 5-8 ล้านบาท ซึ่งเป็นการขยายตลาดให้กว้างขึ้น จากที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ภายใต้แบรนด์ Lanceo ซึ่งจะเน้นกลุ่มลูกค้าในช่วง 3–6 ล้านบาท

   ในปีนี้จะเป็นการต่อยอดการใช้กลยุทธ์ Lifestyle Marketing  โดยมุ่งเน้นการใช้สื่อ Digital Marketing เพิ่มมากขึ้น จากที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในปีที่ผ่านมา โดยบริษัทมีการยกระดับการจัดการข้อมูลสารสนเทศสู่ Digital Company อย่างเต็มรูปแบบ 

   มีการนำ Big Data มาใช้ในการวิเคราะห์หา Customer Insights เพื่อเข้าถึง และตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างแม่นยำ นอกจากนี้ในปีนี้ทางบริษัทจะมีการต่อยอดมาตรฐาน Lalin’s Quality of Living  มีการนำเสนอนวัตกรรมใหม่ๆ (Innovation “Lalin, IL”) ภายในบ้าน

   เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของการอยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็น ระบบ IL – Smart & Security,  IL – Ecosystem, และ IL – Lively & Healthy เป็นต้น  ทั้งนี้ได้ตั้งงบด้านการตลาดในปีนี้ไว้ที่ประมาณ 3%–4%

   ในส่วนของทางด้านการเงินบริษัทมีความแข็งแกร่งทางด้านการเงินอย่างมาก โดยบริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) ที่ลดลงจาก 0.75 เท่า ณ สิ้นปี 2562 มาอยู่ที่ระดับเพียง 0.67 เท่า ณ สิ้นปี 2563  ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโดยรวมของอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ราว 1.4 – 1.5 เท่า อย่างมาก     

   และมีเงินสดสำรองเพื่อใช้ในการขยายธุรกิจอีกราว 1,000 ล้านบาท ตลอดจนมีวงเงินสนับสนุนทางการเงิน (Committed Line) ที่ยังไม่ได้เบิกใช้ จากธนาคารพาณิชย์พันธมิตรต่างๆ

   อีกมากกว่า 2,000 ล้านบาท ซึ่งสะท้อนความแข็งแกร่งทางด้านการเงินของบริษัท และความสามารถในการขยายธุรกิจได้อีกมาก โดยไม่มีปัญหาด้านสภาพคล่อง 

   โดยในปี 2564 นี้บริษัทวางงบซื้อที่ดินไว้ที่ประมาณ 1,000 – 1,200 ล้านบาท โดยแหล่งเงินทุนจะมาจากกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน และกำไรสะสมของบริษัท

   ตลอดจนมีการใช้หุ้นกู้ และแหล่งเงินกู้ระยะสั้นจากสถาบันการเงิน โดยมีการพิจารณาออกในจำนวนและช่วงเวลาที่เหมาะสม เพื่อให้สอดรับกับการขยายธุรกิจ และการเติบโตในระยะยาวของบริษัท

01 มีนาคม 2564

ผู้ชม 337 ครั้ง

Engine by shopup.com