สถิติ

66380499

การ์ทเนอร์ ชี้!ใช้จ่ายอุปกรณ์สวมใส่ไฮเทค

หมวดหมู่: ตลาด/ไอที

   การ์ทเนอร์ ชี้!ใช้จ่ายอุปกรณ์สวมใส่ไฮเทค

   ปี64ทั่วโลกแตะ81,500ล้านดอลลาร์สหรัฐ

                                                       

   การ์ทเนอร์ อิงค์คาดการณ์การใช้จ่ายของผู้บริโภคไปกับอุปกรณ์สวมใส่ไฮเทค (Wearable Devices) ทั่วโลกปีนี้จะมีมูลค่ารวม 81,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 18.1% จาก 69,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปีที่ผ่านมา

   โดยการทำงานระยะไกลและความใส่ใจตรวจเช็กสุขภาพที่เพิ่มขึ้นของผู้คนช่วงการแพร่ระบาดโควิด-19 เป็น 2 ปัจจัยสำคัญเร่งผลักดันการเติบโตของตลาด

   นายรันจิต อัตวัล ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยอาวุโสของการ์ทเนอร์ กล่าวว่า การแนะนำมาตรการด้านสุขภาพเพื่อเฝ้าติดตามอาการโควิด-19 ด้วยตัวเอง และแนวโน้มความสนใจด้านสุขภาพที่เพิ่มขึ้นของผู้บริโภคทั่วโลกช่วงล็อกดาวน์เป็นโอกาสสำคัญของตลาดอุปกรณ์สวมใส่ไฮเทค

   โดยอุปกรณ์หูฟังและสมาร์ทวอทช์กำลังเติบโตอย่างแข็งแกร่ง เนื่องจากผู้บริโภคใช้อุปกรณ์เหล่านี้ในการทำงานระยะไกล, ออกกำลังกาย, ติดตามข้อมูลสุขภาพและอื่น ๆ

   ในปี 2563 มีการใช้จ่ายไปกับอุปกรณ์หูฟังเพิ่มขึ้น 124% หรือคิดเป็นมูลค่ารวม 32,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และคาดการณ์ปีนี้จะมีมูลค่าสูงถึง 39,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ดูตารางที่1)

   โดยการเติบโตอย่างมหาศาลนี้เกิดจากพนักงานที่ต้องทำงานนอกออฟฟิศอัพเกรดหูฟังเพื่อสื่อสารผ่านวิดีโอคอลและผู้บริโภคซื้อหูฟังเพื่อใช้กับสมาร์ทโฟนของตน

 

ตารางที่ 1 มูลค่าการใช้จ่ายอุปกรณ์สวมใส่ของผู้บริโภคทั่วโลกตามประเภทในปี 2562 ถึง 2565 (หน่วย:ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ)

ประเภทอุปกรณ์

2562

2563

2564

2565

สมาร์ทวอทช์ (Smartwatch)

     18,501 

     21,758 

     25,827 

     31,337 

สายนาฬิการัดข้อมือ (Wristband)

       5,101 

       4,987 

       4,906 

       4,477 

หูฟัง (Ear-worn)

     14,583 

32,724

39,220

44,160

จอแสดงผลแบบสวมศีรษะ (Head-mounted display)

       2,777 

       3,414 

       4,054 

       4,573 

เสื้อผ้าอัจฉริยะ (Smart clothing)

       1,333 

       1,411 

       1,529 

       2,160 

สมาร์ทแพทช์ (Smart patches)

       3,900 

       4,690 

       5,963 

       7,150 

มูลค่ารวม

     46,194 

68,985

81,499

93,858

ที่มา: การ์ทเนอร์ (มกราคม 2564)

 

   มูลค่าการใช้จ่ายของผู้ใช้สมาร์ทวอทช์ปี 2563 เพิ่มขึ้น 17.6% หรือราว 21.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยการเติบโตของสมาร์ทวอทช์ส่วนหนึ่งมาจากผู้ใช้กลุ่มใหม่ ๆ ที่เข้าสู่ตลาด

   ซึ่งมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องตลอดปี 2564 เนื่องจากเทคโนโลยีการประมวลผลใหม่และการพัฒนาปรับปรุงแบตเตอรี่แบบโซลิดสเตตซึ่งช่วยเพิ่มอายุการใช้งานให้ยาวนานและชาร์จไวขึ้น

   การ์ทเนอร์เพิ่มอุปกรณแผ่นแปะอัจฉริยะหรือสมาร์ทแพทช์ (Smart patches) เข้ามาเป็นหมวดใหม่ เนื่องจากคาดว่าจะเห็นการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญในปี 2564

   สมาร์ทแพทช์คือเซ็นเซอร์ตรวจเช็กสุขภาพที่ใช้ติดบนผิวหนังเพื่อตรวจวัดอุณหภูมิ, อัตราการเต้นของหัวใจ, น้ำตาลในเลือดและข้อมูลสุขภาพที่สำคัญอื่น ๆ

   ซึ่งให้ข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าเทคโนโลยีอุปกรณ์สวมใส่อื่น ๆ อีกทั้งยังใช้สำหรับการกำหนดการจ่ายยาจากระยะไกลได้อีกด้วย เช่น การให้อินซูลินแก่ผู้ป่วยเบาหวาน

   “สมาร์ทแพทช์ได้รับการคิดค้นขึ้นมาระยะหนึ่งแล้วแต่นำมาใช้ล่าช้า สาเหตุจากกฏระเบียบข้อบังคับที่เข้มงวดและการต่อต้านทั้งจากผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์ในการนำมาใช้สำหรับการให้ยาอัตโนมัติ” นายอัตวัล กล่าวย้ำและเพิ่มเติมว่า

   อย่างไรก็ตามการเปลี่ยนไปสู่ยุคเทคโนโลยีสารสนเทศสุขภาพ (e-health) โดยเฉพาะในช่วงการแพร่ระบาดโควิด-19 จะเปลี่ยนแปลงความเข้าใจของผู้ใช้เกี่ยวกับการให้บริการด้านสุขภาพอัตโนมัติและเพิ่มความต้องการสมาร์ทแพทช์มากขึ้น

   แรงขับเคลื่อนการเติบโตอุปกรณ์สวมใส่ไฮเทคมีอยู่ในอุปกรณ์หลากหลายหมวด เนื่องจากผู้ผลิตอุปกรณ์มุ่งเน้นปรับปรุงความแม่นยำของเซ็นเซอร์และระยะห่างของประสิทธิภาพระหว่างอุปกรณ์สวมใส่ไฮเทคที่ใช้ทางการแพทย์และที่ใช้ทั่วไปก็ลดลงเรื่อย ๆ

   ประสิทธิภาพของเซ็นเซอร์แบบฝังอยู่ในอุปกรณ์มักเป็นปัจจัยกำหนดความน่าเชื่อถือและประโยชน์ใช้สอยของอุปกรณ์นั้น ๆ จากแนวทางการพัฒนาปรับปรุงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เซ็นเซอร์ที่ถูกติดตั้งในอุปกรณ์สวมใส่ไฮเทคสามารถอ่านค่าได้แม่นยำมากขึ้นซึ่งช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของตลาดไปอีก 3-5 ปีข้างหน้า

   ความก้าวหน้าในการย่อขนาดยังเป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลในตลาดอุปกรณ์สวมใส่โดยทำให้ผู้ผลิตสามารถใส่เซ็นเซอร์เข้าไปกับอุปกรณ์โดยผู้ใช้แทบมองไม่เห็น เช่น แหวนอัจฉริยะ (Oura Ring), อุปกรณ์ติดตามสุขภาพร่างกาย (Spire Health Tag)

   หรือ เวชภัณฑ์ดิจิทัลประกอบด้วยเซ็นเซอร์ที่บริโภคได้ (Proteus Discover) การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่าภายในปี 2567 ความสามารถในการย่อขนาดจะก้าวไปสู่จุดที่ 10% ของเทคโนโลยีสวมใส่ทุกประเภทจะไม่สร้างความรำคาญต่อผู้ใช้

   ความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องในการย่อขนาดและการผนึกรวมจะช่วยให้สามารถนำเทคโนโลยีมาใช้งานได้มากขึ้นและเป็นประโยชน์ต่อการนำมาปรับใช้ในเสื้อผ้าอัจฉริยะ (Smart garments), อุปกรณ์สวมใส่แบบพิมพ์ติด (Printed wearables), เทคโนโลยีเซ็นเซอร์ที่กินได้ (Ingestibles), และสมาร์ทแพทช์ (Smart patches)

   นับจากนี้อุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะที่แทบมองไม่เห็นเหล่านี้จะได้รับการยอมรับจากผู้ใช้ที่เคยตะขิตะขวงหรือไม่เต็มใจใช้ เช่น ผู้ป่วยสูงอายุที่ต้องมีการใช้แอปพลิเคชั่นทางการแพทย์ในการดูแลรักษาแต่ไม่ปฏิเสธการรักษาผ่านอุปกรณ์เหล่านั้น

 

 

13 มกราคม 2564

ผู้ชม 402 ครั้ง

Engine by shopup.com