"ซัคเซสมอร์ บีอิ้งค์"ยกระดับ!ธุรกิจขายตรงไทย
"ซัคเซสมอร์ บีอิ้งค์"ยกระดับ!ธุรกิจขายตรงไทย
"ซัคเซสมอร์ บีอิ้งค์"ยกระดับ!ธุรกิจขายตรงไทย
ดีเดย์!เทรดตลาดทุน-หนุน!ผลิต/ส่งออกอาเซียน
นายแพทย์ สิทธวีร์ เกียรติชวนันต์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซัคเซสมอร์ บีอิ้งค์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัท ซัคเซสมอร์ บีอิ้งค์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCM ประกอบธุรกิจขายตรง โดยก่อตั้งเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2555 และเริ่มดำเนินการทางธุรกิจเมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2556
โดยได้จดทะเบียนแปรสภาพ เป็นบริษัทมหาชนจำกัด เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2562 และเตรียมจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.)ได้ในปลายเดือนสิงหาคม 2563 นี้ ในประเภทธุรกิจพาณิชย์ที่อยู่ในกลุ่มเดียวกับธุรกิจค้าปลีกต่าง ๆ
ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา “ซัคเซสมอร์” มีกำไรจากการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่องตามเกณฑ์ตลท. โดยในปี 2561 จำนวน 70 ล้านบาท ปี 2562 จำนวน 59 ล้านบาท และในปี 2563 คาดว่าจะมีกำไรจำนวน 60-80 ล้านบาท จากสัดส่วนรายได้ทางธุรกิจในประเทศ 80% และจากการส่งออกต่างประเทศ 20%
โดยขณะนี้ “ซัคเซสมอร์” อยู่ในขั้นตอนของการกำหนดราคาหุ้นเพื่อนำเสนอขายกับประชาชนทั่วไป(IPO) กับทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) ซึ่งมีบริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
ทั้งนี้คาดว่าจะมีการนำเสนอขายหุ้นทั้งหมด 150 ล้านหุ้นแบ่งเป็นสำหรับประชาชนทั่วไป 75% อีก 25% สำหรับกลุ่มสมาชิกนักขาย “ซัคเซสมอร์” และพันธมิตรที่เป็นคู่ค้าทางธุรกิจ
อย่างไรก็ตามในการะดมทุนจากการจดทะเบียนในตลท.ครั้งนี้ของ “ซัคเซสมอร์” มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเงินไปลงทุนในการขยายธุรกิจและลงทุนโรงงานผลิต เพื่อขยายตลาดการส่งออกในต่างประเทศให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง
รวมถึงการนำไปลงทุนพัฒนาระบบเทคโนโลยีและดิจิทัล เพื่อพัฒนาฐานข้อมูลทางธุรกิจหรือ Big Data ต่อไป และยังนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนทางธุรกิจด้วย
นายนพกฤษฏิ์ นิธิเลิศวิจิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซัคเซสมอร์ บีอิ้งค์ จำกัด (มหาชน) กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับแผนการระดมทุนและเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยนั้น “ซัคเซสมอร์” ถือเป็นน้องใหม่ของวงการที่มาแรง สะท้อนถึงความเชื่อมั่นได้รับการยอมรับจากสมาชิก และผู้บริโภค
โดยบริษัทมีรายได้ติดอยู่ในอันดับ TOP 10 ระดับ 1,000 ล้านบาท จากกว่า 400 บริษัทขายตรงในประเทศไทย เนื่องจากมีศักยภาพสูงทางด้านการทำธุรกิจในรูปแบบ Multi-level Marketing(MLM)
ดังนั้นจึงทำให้ผู้บริโภคเข้าถึงสินค้าคุณภาพ และไม่ใช่แค่ตลาดในประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังขยายไปยังตลาดอาเซียนทั้งลาว กัมพูชาและเมียนมาร์(พม่า) โดยบริษัทยังคงมองหาโอกาสใหม่ๆ เพิ่มเติม เพื่อที่จะขยายธุรกิจออกไป และทำให้กิจการเติบโตอย่างมั่นคงยั่งยืนในอนาคตต่อไป
05 กรกฎาคม 2563
ผู้ชม 817 ครั้ง